วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ที่มาของ พระสมเด็จไกเซอร์

เมื่อพูดถึงมรดกพระเครื่องของเมืองไทย ที่ได้สร้างขึ้นมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากตระกูลพระเครื่องกรุงต่างๆ และจากเอกลักษณ์ของพระเถราคณาจารย์ และ พระเกจิอาจารย์ดังต่างๆ นั้น สังคมไทยทั่วไป รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง ได้ยอมรับนับถือในความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของพระสมเด็จ เมื่อนำไปใช้ได้ผลเป็นที่ประจักสืบทอดต่อเนื่องกันมานับเป็นเวลาอันยาวนานถึงตราบเท่าทุกวันนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย จึงเห็นสมควรอย่างยิ่ง ที่จะธำรงส่งเสริมเพื่อป้องกันการสับสนกับนักสะสมรุ่นหลานเหลนในอนาคตกาลสืบไป

พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์ เป็นพระเครื่องที่หายากมากแม้แต่จะขอชมบารมีองค์ท่านก็ยังยากยิ่งนัก เพราะเป็นพระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้สร้างถวายพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะ ก่อนเสด็จประพาสต่างประเทศ ประมาณ 300 องค์เท่านั้น เพราะแม่พิมพ์หักเสียก่อนจึงทำให้นักนิยมหรือนักสะสมพระเครื่องทั้งหลายได้ยินแต่ชื่อเสียงว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” เท่านั้น ส่วนองค์จริงนั้นจะหามีผู้พบเห็นได้น้อยมาก และไม่ทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมพระเครื่องของประเทศไทย ซึ่งเป็นพระสมเด็จแท้ๆ กลับมีชื่อเรียกเป็นภาษาฝรั่ง จึงเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ของชนรุ่นหลัง ๆ ตลอดมาอยู่เป็นประจำ บางท่านก็อาจจะลืมไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าประวัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้สร้างไว้จะสูญหายไปจากโลกนี้ จึงได้พยายามหาประวัติมารวบรวมเสนอต่อท่านผู้อ่านและผู้ที่เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อสมเด็จโต เพราะเป็นของดีที่หายาก เมื่อท่านอ่านจบแล้ว ท่านจะทราบว่าเพราะเหตุใดพระสมเด็จองค์ใหญ่ๆ รูปร่างลักษณะงดงาม ฐานมีบัว 5 ดอกรองรับ มีความหมายถึงรัชกาลที่ 5 เป็นองค์อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ องค์พระนี้จึงมีชื่อเรียกขานกันอยู่ในระหว่างนักนิยมพระเครื่องว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” พร้อมกับมีความศักดิ์สิทธิ์อิทธิปาฏิหารย์ เป็นที่ยอมรับนับถืออยู่ในวงการและนอกวงการพระเครื่องเป็นเวลาอันยาวนาน

สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
จากหลักฐานตามประวัติเก่าแก่และจากคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อๆ กันมา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านได้ทรงสร้างไว้ เมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เวลา 9.00 น พ.ศ.2413 โดยมีส่วนผสมของเนื้อพระ เป็นเนื้อผงวิเศษทั้ง 5 ดังนี้
  1. ผงอิทธิเจ 
  2. ผงปัถมัง 
  3. ผงมหาราช 
  4. ผงตรีนิสังเห 
  5. ผลพุทธคุณ 
นอกจากนี้แล้วยังมีส่วนผสมของ ข้าวสุก กล้วยน้ำ, กล้วยหอมจันทน์, เกษรดอกไม้ต่างๆ อีก 108 อย่าง เช่น ดอกกาหลงดอกขาว, ดอกสวาท, ดอกรักช้อนตัวผู้ตัวเมีย, ใบพลูสองหาง, ไส้เทียนหรือขี้เทียนบูชาพระพุทธเจ้า, ดินเจ็ดโป่ง,ดินเจ็ดป่า, ตะไคร่เสมา, ขี้ไครพระพุทธ, ใบราชพฤกษ์, พระแจะตะนาวศรี, น้ำเซาะหินที่หยดในถ้ำ, ผงใบลาน, ผงปูนเปลือกหอย, ข้าวสุกและภัตตาหารที่รสอร่อยๆ ที่ท่านเก็บไว้ นำมาผสมรวมกัน ตากให้แห้ง ใช้น้ำอ้อยเคี่ยวให้เป็นยางมะตูม ผสมนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนวดด้วยน้ำมันตั๊งอิ๊วอีกครั้งหนึ่ง นำไปกดแม่พิมพ์โดยองค์พระมีขนาดความกว้าง 3.7 ซม. ทางด้านความยาวหรือสูง 5.8 ซม. ด้านความหนา 5 มล. ดูแล้วขนาดเก่ากับกลักไม้ขีด องค์พิมพ์ลึก คมชัด มีบัวห้าดอกรองรับ ก่อนจะมีชื่อเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์” นั้น หลวงพ่อสมเด็จท่านเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” ท่านได้สร้างไว้ประมาณ 300 องค์ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้ทำการปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษถึง 3 เดือน (ครบไตรมาศ) แล้วท่านได้มอบถวายพระสมเด็จพิมพ์พิเศษทั้งหมดนั้นแด่พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 ก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงจะได้เสด็จประพสต่างประเทศหลายๆ ประเทศ เมื่อพ.ศ.2413 ตามคำกราบบังคมทูล เป็นกรณีพิเศษสำหรับพระองค์ท่านโดยเฉพาะ

พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์ มาโด่งดังมากเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสประเทศเยอรมัน จึงเป็นเหตุให้พระสมเด็จพิมพ์พิเศษนี้ ได้ชื่อเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” ดังมีประวัติต่อไปนี้

จากหลักฐานตามประวัติเก่า ๆ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีประสบการณ์ ได้เล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่า เมื่อคราวเสด็จประพาส ณ ประเทศเยอรมันนี ทวีปยุโรป โดยเฉพาะบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จได้เล่าถึงอภินิหารของพระสมเด็จหน้าโหนก อกครุฑ เศียรบาตร ฐานมีบัว 5 ดอกรองรับ “พิมพ์ทรงไกเซอร์” นี้มีอยู่ตอนหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงได้ทำสันถวไมตรีตามธรรมเนียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นั่งสนทนาอยู่กับพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลี่ยมที่ 2 หรือ พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 ณ ประเทศเยอรมันนี ในขณะนั้น พระเจ้าไกเซอร์ทอดพระเนตรเห็นที่กระเป๋าเสื้อของพระพุทธเจ้าหลวง มีรัศมีเปล่งออกมาเป็นสีแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน ชมพู พุ่งขึ้นรอบๆ กระเป๋าเสื้อ ท่านสงสัยจึงได้ทรงตรัสถามว่า พระองค์มีสิ่งใดอยู่ในกระเป๋าเสื้อ พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงหยิบพระสมเด็จพิมพ์พิเศษที่ในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ทอดพระเนตร และตรัสว่าเป็นพระเครื่อง ซึ่งคนไทยทุกๆ คน ที่นับถือพระพุทธศาสนา ใช้นำติดตัวไว้เพื่อป้องกันภยันตรายต่างๆ ซึ่งอาจจะมาถึงตัวได้ และเป็นพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธคุณ ทำให้จิตใจสบายและมีความสุข

พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2
เมื่อพระเจ้าไกเซอร์ทรงทราบเช่นนั้น ท่านสนพระทัยและเกิดความเลื่อมใสมีใจศรัทธามาก พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงถวายให้ไว้เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสครั้งนี้ด้วยพระเจ้าไกเซอร์ทรงรับไว้และยกมือไหว้พนมมือแบบคนไทย แล้วนำมาใส่ในกระเป๋าเสื้อของพระองค์บ้าง สักพักหนึ่งก็ได้เกิดรัศมีออกมาจากกระเป๋าเสื้อในทำนองเดียวกัน ทำเอาพระเจ้าไกเซอร์และข้าราชบริพารของพระองค์และบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในที่นั้น ต่างแปลกใจไปตามๆ กัน ทำให้พระองค์เกิดศรัทธาพระสมเด็จที่ได้รับมาและเกิดความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าหลวงของประเทศไทยเราว่า ทรงมีพระบารมีและทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งนัก พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงตั้งพระนามของพระเจ้าไกเซอร์ เรียกชื่อย่อรวมกันเป็นพระนามว่า “พระสมเด็จทรงไกเซอร์” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ประชาชนทั่วไปในสมัยนั้นต่างประเทศและในประเทศให้ความเคารพนับถือพระสมเด็จรุ่นนี้เป็นอันมาก เพราะคุณต่าและอานุภาพพุทธคุณในความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารประสบการณ์ต่างๆ เหนือคำบรรยายที่จะสรรหามาบรรยายไว้ ณ ที่นี้ได้ทั้งหมด จะทำให้ประชาชนทั่วไปต่างพากันมาขอพระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในสมัยนั้นเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไป เพราะทางวัดไม่มีเหลือไว้เลย

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระพิมพ์หน้าโหนกอกครุฑ เศียรบาตร ฐานมีบัวรองรับ 5 ดอกอันมีความหมายถึง รัชกาลที่ 5 ดอกกลางหรือกลีบกลางใหญ่กว่าดอกริมหรือกลีบริมทั้งสองข้าง ทุกคนจึงเรียกพระพิมพ์พิเศษนี้ ตามพระราชดำรัสที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงประทานไว้ว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” มาจนถึงปัจจุบันนี้

ในสมัยนั้น พวกข้าราชการในวังหลวง ท่านได้ตั้งคุณค่าราคาค่าเช่าบูชาไว้ เพื่อเป็นการเปรียบเทียบไว้สูงถึง 5 ชั่ง เงิน 5 ชั่ง ในสมัยนั้นสามารถหาซื้อนาได้ถึง 100 ไร่ ถ้าเราลองเอามาคิดเปรียบเทียบกับราคาในสมัยนี้ ไม้ต้องพูดกันเลย เพราะประเมินค่ามิได้ และไม่มีท่านผู้ใดจะนำออกมาขายหรือให้เช่าบูชากันอีกด้วย คงเป็นเพียงคำเล่าขานถึงชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระพิมพ์ทรงไกเซอร์สืบต่อกันมาเท่านั้น จะหาผู้ใดมีไว้บูชาเองก็ยากยิ่งนัก ต้องเป็นผู้มีบุญบารมีจริงๆ จึงทำให้เป็นที่สนใจแสดงหาไว้บูชากันเป็นจำนวนมาก

สมเด็จไกเซอร์ วัดอรุณฯ รุ่นทูลเกล้า เนื้อแตกลายงา พิมพ์ใหญ่

ถ้าท่านต้องการจะพบเห็น “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” เนื้องแตกลายงา ซึ่งหลวงปู่ได้รวบรวมผงมวลสารของสมเด็จโต ทั้งของวัดระฆังโฆสิตาราม วัดใหม่อมตรส วัดอินทรวิหารและวัดไชโย อีกทั้งมวลสารศักดิ์สิทธิ์ตามกรุต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศรวม 199 ชนิด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ยอดขุนพลบ้านค่าย หลวงพ่อสาคร

พระยอดขุนพลบ้านค่าย ปลุกเสกพระเวทเดี่ยวโดย หลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ จ.ระยอง

 สุดยอดวัตถุมงคล ที่เมตตามหานิยมสูงยิ่ง เสริมเพิ่มบารมี มหาอำนาจได้ทั้งหญิงและชาย ด้วยพลังมหัศจรรย์แห่งพระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายปลุกเสกเดี่ยวโดยหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ หลวงพ่อสาคร เป็น ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม อิสริโก เจ้าตำรับพระขุนแผนผงพรายกุมารอันเลื่องลือ และท่านยังได้ศึกษากับหลวงปู่เพ่ง วัดระหารใหญ่ ผู้จาร นะ ตัวเคียวปืน ยิงไม่ออกเป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองระยอง ผงพรายกุมารตำรับหลวงปู่ทิม ที่ถูกถ่ายทอดมาสู่หลวงพ่อสาครนั้นดังสนั่นทั่วประเทศสยาม พระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายกุมาร สุดยอดพระเครื่องที่เป็นทั้งเมตตามหานิยม เสริมเพิ่มบารมี มหาอำนาจ น่าเกรงขามเกรียงไกร

ยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อาสำริด


พระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายกุมารสูงสุดด้วยมนตรา สุดยอดมวลสารสำคัญยิ่งรวบรวมสุดยอดมวสาร
  • ผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม 
  • ผงพุทธคุณต่าง ๆ หลวงพ่อสาคร 
  • ผงเก่าหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ 
  • สีผึ้งเสก ผงว่าน 108 หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว 
  • ผงใบลาน วัดบ้านแลงปี2496 ปลุกเสกโดย หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่, หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, หลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง 
  • ผงหลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด 
  • แป้งเสก หลวงพ่อกาส วัดแพงพลวย 
  • ผงว่าน 108 หลวงพ่อโทน วัดเขาน้อนคีรีวัน 
  • ดอกว่านดอกไม้ทอง ว่านสบู่เลือด เครือเถาว์หลง ผงเกษร ผงมหาเสน่ห์108 หิน 7 โป่งดิน 7 ป่าช้า ว่านกาหลงรัง ว่านมหาเสน่ห์ 
  • ผงยาดำออกศึก หลวงปู่ดิ่ง วัดบางวัว 
  • ผงไม้ตะเคียน ฟ้าผ่าตายพราย ผงวาสนา ผงมหาเมฆ ผงว่านสาวหลง ผงดอกพิกุลทอง ผงต่อเงินต่อทอง ผงกลิ้งกลางดง 
  • ผงเพชรหลีก เจ้าคุณศรี วัดอ่างศิลา 
  • ผงโพธิ์ วัดอ่างศิลา 
  • ว่านพัดโบก ผงเจ้าเงาะ ผงกัลปังหาทอง 
  • ผงพระชำรุดหลวงพ่อสาคร พระยอดขุนพลบ้านค่าย 
  • เนื้อผงพรายกุมาร สุดยอดพระเครื่อง สุดยอดพิธีกรรม สุดยอดมวลสาร สุดยอดพระเครื่อง สุดยอดพิธีกรรม สุดยอดมวลสาร สร้างน้อยเป็นอีกวัตถุมงคลหนึ่งที่น่าใช้ ของหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง
หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล วันที่ 28 ตุลาคม 2552

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จวัดระฆัง รุ่นคู่บุญ-คู่บารมี

วาระพิเศษในรอบ ๘๒๓ ปี มีหนึ่งครั้ง คือ วันมหาพุทธาภิเษกที่เกิดขึ้น ณ พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ในวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2555 ซึ่งตรงกับวันครู เสมือนหนึ่งได้บูชาองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อันเป็นบรมครูอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งตรงกับวันจันทร์ อันเป็นวันแห่ง เสน่ห์ เมตตามหานิยม ซึ่งวันจันทร์ เดือนนี้เป็นเดือนพิเศษสุดเพราะ ยังเป็นเดือนที่มี 5 อาทิตย์ 5 จันทร์ 5 อังคาร และเป็นเดือนที่มีวันพระ 5 วัน เรียกว่าวาระนี้ว่า "ถุงเงิน ถุงทอง ถุงทรัพย์" ซึ่งในรอบ 823 ปี จะเกิดขึ้นเพียง 1 วาระ เท่านั้น อาจเรียกวาระสำคัญนี้ว่า วาระ "เบญจมหามงคล" ของพระสมเด็จวัดระฆัง รุ่น "คู่บุญ คู่บารมี"


วัตถุประสงค์ : โดยดำริขอพระเดชพระคุณเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม) ที่ปรารภต่อพระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณเที่ยง เจ้าอาวาสวัดระฆัง) ว่าขอให้วัดระฆังอำนวยความสะดวกในการจัดสร้างพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหนึ่งให้กับวัดพระบรมธาตุวรวิหาร (พระอารามหลวง) จ.ชัยนาท ซึ่งมีพระครูศรีปริยัติอุเทศเป็นเจ้าอาวาสการจัดสร้างครั้งนี้เพื่อ นำรวยได้ทั้งหมดสู่โครงการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระบรมธาตุวรวิหาร พระอารามหลวง ที่ชำรุดทรุดโทรมมากให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ โดยโครงการนี้จะต้องใช้ทุนทรัพย์ประมาณ 20 ล้านบาทขึ้นไป

พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณเที่ยง เจ้าอาวาสวัดระฆัง) ได้น้อมรับคำปรารภดังกล่าว แม้ต่อมาพระเดชพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านได้ละสังขารไปเสียก่อน แต่พระธรรมธีรราชมหามุนีก็ได้ยินดีที่จะแสดงมุทิตาสักการะต่อเจ้าประคุณสมเด็จมหาธีราจารย์ จึงได้อนุญาตให้พระครูศรีปริยัติอุเทศ เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ดำเนินการจัดสร้าง “พระเด็จวัดระฆัง รุ่น คู่บุญ – คู่บารมี” ขึ้น โดยพระเดชพระคุณธรรมธีรราชมหามุนีได้รับเป็นองค์ประธานในการจัดสร้างให้

จึงถือได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆังรุ่น “คู่บุญ – คู่บารมี” สำเร็จได้ด้วยเมตตาบารมีของพระมหาเถระทั้งสองรูป และถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการอัญเชิญเอาพุทธบารมี ธรรมบารมี และบารมีแห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พร้อมทั้งบารมีของเกจิอาจารย์ชั้นนำของประเทศที่ได้มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกอธิษฐาบารมี ประดิษฐานความเป็นมิ่งมหามงคลแก่พระสมเด็จวัดระฆัง รุ่น “คู่บุญ – คู่บารมี” ในครั้งนี้ และผู้ที่ได้ร่วมบริจาคบูชาก็จะได้บุญศลร่วมกันในการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามหลวงอันเก่าแก่ที่มีอายุ 1,000 ปีล่วงมาแล้วให้กลับมาสมบูรณ์ใหม่ ขอกุศลผลบุญจงบังเกิดแค่ทุกท่านเทอญ

พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2555


พระเดชพระคุณพระพรหมสุธี วัดสระเกศฯ ประธานจุดเทียนชัย
พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ประธาน ดับเทียนมหามงคล








วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เปิดตำนาน พระปิดตาโคตรเศรษฐี

เมืองนนท์ ไม่มีจน คนแก่คนเฒ่าเล่าให้ลูกหลานฟังพร้อมหยิบก้อนแร่เล็ก ๆ เงา ๆ ใส่มือลูกหลาน สั่งกำชับว่าเก็บไว้ให้ดีนี่แหละแร่โคตรเศรษฐี ลูกหลานก็เก็บก้อนแร่นี้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วก็ไม่จนตามคำที่ปู่ย่าตาทวดท่านบอกไว้จริง ๆ ทำมาหากินอะไรก็เจริญรุ่งเรืองดี ปลูกผักปลูกหญ้าได้ผลงอกงาม

ทางสามแพร่งแยกของแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าเมืองนนท์เป็นแหล่งกำเนิดของแร่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แร่ ได้ความว่า “แร่บางไผ่หลวงปู่จันทร์ แร่เศรษฐี แร่กายสิทธิ์ หลวงพ่อเกิด” แร่บางไผ่หลวงปู่จันทร์ วัดโมลีไม่ต้องพูดถึงเหนียวสุด ๆ แมลงวันไม่ได้กินเลือด แร่บางเดื่อ (กายสิทธิ์) หลวงพ่อเกิดแคล้วคลาดศัตรูไม่มีทางเห็นตัว แร่วิเศษเมืองนนท์ มีค่าขนาดสร้างพระปิดตาเป็นล้าน ๆ ได้ แร่เศรษฐีที่ว่า คือแร่บางม่วง ผุดกลางแม่น้ำท้องคลอง ผู้ที่สร้างหุงถลุงแร่องค์ต้นคือ หลวงพ่อดิษฐ์ วัดบางม่วง (องค์สมเด็จพระสมณเจ้าฯ ทรงเปลี่ยนนามเป็นวัดอัมพวัน เดี๋ยวนี้จึงใช้คำว่าวัดอัมพวันสืบมา) หลวงพ่อดิษฐ์สร้างพระปิดตาด้วยแร่บางม่วง ใครได้ใครใช้เป็นเศรษฐีทุกคน ริมคลองบางกอกน้อย สมัยนั้นหาคนที่ได้ปิดตาแร่บางม่วง หลวงพ่อดิษฐ์ ไปแล้ว “จน” ไม่เคยเจอ



แร่คลองบางม่วงนี้ถูกยกย่องให้เป็นแร่เศรษฐี และเมื่อเห็นผลชัดเจนมากขึ้นใครได้ไปรวย จึงถูกยกย่องเชิดชูให้เด่นดังต่อไปว่า “แร่โคตรเศรษฐี” หลวงพ่อดิษฐ์สอนหลวงปู่ทองย้อยศิษย์รักไว้มากมายพร้อมทั้งทิ้งแร่เศรษฐีให้หลวงปู่ทองย้อยไม่น้อย ตอนที่มีแร่เยอะ ท่านไม่ห่วงเลยใครมาขอท่านแจกดะ ใครได้ไปเอาไปเลี่ยมแล้วรวยดีจัง…??? แจกใกล้หมด จึงคิดว่าสร้างพระปิดตายันต์ยุ่งลงหัวใจเศรษฐี สืบอายุพระพุทธศาสนาด้วย ช่วยบูชาครูพระปิดตาหลวงพ่อดิษฐ์อีกองค์ พระปิดตาหลวงปู่ทองย้อยทุกรุ่นดังระเบิด เพราะเกิดเศรษฐีใหม่มากมาย ไปถามเถอะเศรษฐีบ้านจัดสรร เศรษฐีใหม่ พกพระปิดตาหลวงปู่ทองย้อยทั้งน้าน ทำพิธีปักเทียนเบิกบายศรีกระทงข้าวดอก ถั่วงา ดอกไม้บอกกล่าวครูบาอาจารย์ และเทวดาที่รักษาแร่วิเศษนี้ในวันอังคาร ๒๗ ขึ้น ๕ ค่ำ ปี ๒๕๕๕ ฤคเวทภูมิโลฤกษ์ เป็นปฐม

ปิดตายันต์ยุ่ง “แร่โคตรเศรษฐี” เพราะใช้แล้วรวยมาก หรือแร่เศรษฐี เพราะใช้แล้วเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ทุกคนไป หรือแร่บางม่วงเพราะชื่อคลองก็เรียกได้ นี้บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นแร่วิเศษหรือแร่กายสิทธิ์ ที่รู้และใช้กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ว่าใครมีใครใช้จะร่ำรวยมาก เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีสตางค์เยอะ จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด ทำมาหากิน ทำบริษัท ห้างร้าน ค้าขาย ก็จะ มีลูกค้ามาอุดหนุนมากล้น บางท่านที่หาช่องทางร่ำรวยทางลัด เล่นหวย รวยโป การพนันขันต่อก็จะได้โชคได้ลาภทางนี้ หลวงปู่ทองย้อย ท่านเตือนสติ “เงินทางพนันมันกินไม่นาน ให้ประกอบสัมมาอาชีพซะจะเจริญรุ่งเรืองดี ใครรวยแล้วเป็นเศรษฐีให้หมั่นไว้พระทำบุญประกอบการกุศล ศีลธรรมให้มั่นคงประจำใจ จะทำให้รวยยืนนานและจะรวยมากขึ้น เป็น โคตรเศรษฐีได้ไม่ยากเลย… พระปิดตาผูกยันต์ “หัวใจเศรษฐีเดินเส้นขนมจีนไว้ด้านหลัง”

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อ​แคล้ว เทพ​เจ้า​แห่ง​เขาค้อ

พระครูพัชรคณาภิบาล ​หรือ มหา​แคล้ว ฐานิสฺส​โร ​เทพ​เจ้า​แห่ง​เขาค้อ ​เจ้าคณะอำ​เภอ​เขาค้อ ต.​เขาค้อ อ.​เขาค้อ จ.​เพชรบูรณ์ ที่ท่านมี​ความ​เพียรพยายามหลังจากที่​ได้ปวารนา​ถึง​การบวช​ไปตลอดชีวิต

หลวงพ่อแคล้ว วัดเขาค้อ
สิ่งที่หลวงพ่อแคล้ว ท่าน​ได้ปฏิบัติมานานนับ 14 ปี กิจกรรมหนึ่งคือ​การจัด​เลี้ยงพระทุกวันอาทิตย์ปลาย​เดือน ​เดือนหนึ่ง ร้อยถึงเจ็ดร้อยรูปเลยทีเดียว ​เพราะหลวงพ่อแคล้ว ท่าน​เล่าว่า อาตมา​เห็นปัญหาของ​การที่พระสงฆ์บ้านนอก ที่อยู่ห่าง​ไกล​ความ​เจริญ ​ใน​เรื่องจัตุปัจจัย หรือ ปัจจัยสี่ ​ใน​การบริ​โภคของพระสงฆ์ สาม​เณรที่ขาด​แคลน ​ทำ​ให้พระ​เณร ไม่ต้อง​ไป​ใน​เมือง​เพื่อ​แสวงหาจัตุปัจจัย​ให้​เพียงพอ​ใน​การยังชีพของสมณ​เพศ หลวงพ่อแคล้ว ​จึง​ได้นิมนต์พระ​เณรมารับมหาสังฆทานที่วัด​เขาค้อ ​เมื่อญาติ​โยมทราบข่าว​ ก็​ได้​เดินทางมาร่วมถวายมหาสังฆทานกัน​แต่ละครั้ง นับร้อยคนขึ้น​ไป​ในวันอาทิตย์

​ใน​การ​ทำบุญ​ใหญ่ทุกวัน​เสาร์อาทิตย์ปลาย​เดือน ปัจจัยที่​ได้จากงานบุญ​ใหญ่หลวงพ่อแคล้ว จะนำ​ไปตั้ง​เป็นกองทุนส่ง​เสริม​การศึกษาของพระ​เณร ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยห้อง​เรียน จ.​เพชรบูรณ์ ณ วัด​ไพรสณฑ์ศักดาราม หลวงพ่อ​แคล้ว วัดเขาค้อ กล่าวว่า หลวงพ่อธุดงค์มา 40 ปีรวม​ทั้ง 12 ปี​แห่ง​การศึกษาทางธรรมจน​ได้​เปรียญธรรม 5 ประ​โยค สิ่งที่หลวงพ่อ​เป็นห่วงสถาบันพระพุทธศาสนา ​โดย​เฉพาะนักบวชที่จะมาสืบทอดพระพุทธศาสนา​เพื่อจะ​ได้สั่งสอนธรรมะสู่ประชาชน เพราะปัจจุบันพระสังฆาธิ​การรุ่นอายุ 60 ​ถึง 80 ปี ​เมื่อ​ถึงกาลมรณภาพละจาก​โลกนี้​ไป​แล้ว จะมีพระรุ่น​ใหม่สืบต่อกันอย่าง​ไร ​ใน​เมื่อปัจจุบันจะหา​ผู้ที่​เข้าบวช​เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาน้อย​เต็มทน ​และมีระบบ​การศึกษาที่​ทำ​ให้​เยาวชนจะมาบวช​เข้าพรรษายัง​ทำ​ได้ยาก หลวงพ่อ​จึงขวนขวาย​ไปหา​เยาวชนจากภาค​เหนือ​และอีสาน ​ซึ่ง​เป็นลูกตาสีตาสา ขี่หลังวัวหลังควาย​ทำ​ไร่​ทำนา มีฐานะยากจน ​เพื่อ​แบ่ง​เบาภาระของญาติ​โยม นำมา บวชพระ บวช​เณร ​แล้วส่ง​เสริม​ให้มี​การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยปริญญาตรี​ในระดับ มหาวิทยาลัยสงฆ์ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ของจังหวัด​เพชรบูรณ์ ​โดยทุกวัน อาตมา​ได้พยายามหากองทุน​เพื่อยก​ให้​เป็นวิทยา​เขต​ให้​เป็น วิทยาลัย​ให้​ได้ ​เพื่อจะ​ได้สง​เคราะห์ลูกชาว​ไร่ชาวนาที่ขี่หลังควาย​ให้มี​การศึกษา ยกฐานะขึ้น​เป็นครูบาอาจารย์​เผย​แผ่พระพุทธศาสนาต่อ​ไป

วัตถุมงคล หลวงพ่อแคล้ว วัดเขาค้อ "ชุดเหล็กน้ำพี้" รุ่น 1

หลวงพ่อแคล้ว ชุดเบญจภาคีเหล็กน้ำพี้


วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ค่านิยมของพระกริ่ง

สำหรับพระกริ่งที่มีชื่อเสียง และ ทรงคุณวิเศษหลายประการ มีผู้นิยมนับถือกันมาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งหายาก ต้องยกให้ พระกริ่งวัดสุทัศนฯ เพราะ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงสร้างไว้จำนวนไม่มาก การจัดสร้างพระกริ่งในอดีตนั้น สร้างออกมาเพื่อใช้จริงๆ และโดยเฉพาะสายวัดสุทัศนฯ สร้างออกมาอยู่ในหลักสิบองค์ต่อครั้งเท่านั้น ที่สำคัญ คือ การแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณต่างๆ นั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย

ส่วนคำกล่าวว่า ตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นตำราของ สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว สำนักอรัญญิกาวาส สมถธุระวิปัสสนาธุระแห่งกรุงศรีอยุธยา และมาอยู่ที่ สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ วัดพระเชตุพนฯ จากนั้น พระมงคลทิพย์มุนี (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ก่อนที่จะมาตกอยู่ที่ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) เมื่อครั้งยังทรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลี

สำหรับมูลเหตุที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์นั้น มีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ทรงเล่าว่า เมื่อพระองค์ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสมโพธิ ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม เมื่อรับสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่า เคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่า พระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า จึงรับสั่งให้นำมา แล้วอาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์ แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์แล้ว โรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปกติ ส่วนจะเป็นพระกริ่งสมัยไหน พระองค์ท่านรับสั่งว่า จำไม่ได้ เมื่อถามถึงความแตกต่างของพุทธคุณพระกริ่ง ที่มีการจัดสร้างในอดีตกับปัจจุบัน

พระกริ่ง วัดสุทัศน์ฯ

 "พุทธคุณของพระกริ่งนั้น ส่วนใหญ่จะมีพุทธคุณดีทุกด้าน ในกรณีของพระกริ่งเขมรนั้น จะมีพุทธคุณเด่นด้านคงกระพันชาตรี ทั้งนี้จะแตกต่างกับพระกริ่งจีน จะมีพุทธคุณโดดเด่นทางด้านการรักษาโรค เช่นเดียวกับพระกริ่งที่สร้างในเมืองไทย และพระกริ่งที่มีพุทธคุณเด่นด้านรักษาโรคนั้น ต้องยกให้พระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) แห่งวัดสุทัศนฯ ด้วยมวลสารพิธีกรรม และฤกษ์ ทำให้พระกริ่งที่สร้างในยุคก่อนมีความเข้มขลัง สามารถแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกันรักษาโรคได้ แต่การสร้างพระกริ่งยุคหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรัด แม้ว่าจะเป็นเนื้อนวโลหะครบตามสูตร แต่การจารยันต์ และฤกษ์การเทนั้น ไม่เป็นตามตำรา พระกริ่งยุคหลังจึงนำมาแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกินรักษาโรคไม่ได้ดีเท่าในอดีต" นี่จึงเป็นที่มาและค่านิยม ของคนที่สนใจในพระกริ่งนั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู อติภทฺโท หรือ พระมงคลสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เทพเจ้าบางปะกง มหาคาถา สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ อันเลื่องลือ สืบทอดสุดยอดวิชา แห่งปรมาจารย์ หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า "เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง"

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร
หลวงพ่อฟู เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่ออายุ 20 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ที่วัดบางสมัคร โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว) ผู้เป็นพระอาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชื่น วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเมธีธรรมโฆสิต (พระมหาจอม) วัดบางสมัคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "อติภัทโท" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาด้านคันถธุระ ที่วัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ จนสามารถสอบได้นักธรรมโท และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2487 ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดอุทยานที จ.ชลบุรี เพื่อเรียนนักธรรมเอก

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2492 หลวงพ่อฟูท่านก็สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาพรรษาที่ 16 พ.ศ.2501 หลวงพ่อฟูได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ชลบุรี โดยเลื่อนอันดับเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองไม้แดง จ.ชลบุรี

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2503 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ จนต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2505 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา ว่างเว้นลง ชาวบ้านและญาติโยมจึงนิมนต์หลวงพ่อฟูให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบางสมัครจวบจนปัจจุบัน

หลวงพ่อฟู เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2465 อุปสมบท เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง) วัดบางวัว เป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบันอายุ 90 ปี 70 พรรษา หลวงพ่อฟูเป็นพระสุปฏิปันโน พระนักปฏิบัติ ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อาคมขลัง สืบทอดพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ที่โด่งดังหลายรูป เช่น สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว พระอุปัชฌาย์ ที่เมตตาและถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ศึกษาต่อจากหลวงพ่อจอม หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี ทั้งวิชาเสืออาคม เสือสมิง ปลัดขิก หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ซึ่งถ่ายทอดวิชาหน้าผากเสือ และปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ อันลือลั่น และยังถือได้ว่าเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงพ่อดิ่ง ที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคม ในการสร้างวัตถุมงคล ลิงหรือหนุมานอันลือเลื่อง และสุดยอดวิชาของหลวงพ่อดิ่งคือวิชา "สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์"

วัตถุมงคล หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

วัตถุมงคลที่มีชื่อของหลวงพ่อฟู ได้แก่ หนุมานจับหลัก ซึ่งสืบทอดมาจากหลวงพ่อดิ่ง ที่มีอยู่มากมายหลายรุ่น และที่ขึ้นชื่อไม่แพ้หนุมานจับหนัก ก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ ของหลวงพ่อฟู ซึ่งตามความเชื่อของคนไทยว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็นนายแห่ยักษ์ ทำให้ช่วยปกป้องคุ้มครองภูตผีปิศาจ อันตรายต่างๆ ยิ่งได้วิชาของหลวงพ่อฟู ที่ชื่อ สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ อีกยิ่งทำให้ ท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อฟู เข้มขลังด้วยพุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง

ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อทองระฆังเทโบราณในฤกษ์ อุดผงฝังตะกรุดทองคำคู่ 
พิธีพุทธาภิเษก ท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อฟู วันที่ 14 ตุลาคม 2554



วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก

หลวงพ่อมาลัย หรือ พระครูอุทัยธรรมสาคร แห่งวัดบางหญ้าแพรก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร อาจารย์ "ตี๋ใหญ่" ขุนโจรนามกระเดื่องขนานแท้

หลวงพ่อมาลัย
ประวัติหลวงพ่อมาลัย
เดิมชื่อ มาลัย แตงอ่อน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 8 กันยายน 2483 ตรงกับ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ณ บ้านเลขที่ 63 หมู่ 8 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร บิดา ชื่อ นายบุญธรรม แตงอ่อน มารดาชื่อ นางกิม แตงอ่อน มีพี่น้องด้วยกันทั้งสิ้น 6 คน

บวชเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2509 เวลา 13.00 น. ณ วัดบางกระดี่ ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่ออายุ 25 ปี พระเทพณานมุนี วัดราชโอรสาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์สง่า การวิโก วัดบางกระดี่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และอาจารย์สงวน อาสโภ วัดกำพร้าเป็นพระอนุสาวนาจารย์ 

เดิมทีหลวงพ่อมาลัยตั้งใจเอาไว้ว่าจะบวชพรรษาเดียวแล้วจะสึก เพราะฐานะทางบ้านยากจนและไม่มีใครช่วยพ่อ-แม่ ส่วนญาติพี่น้อง ก็มีเหย้ามีเรือนกันไปหมดแล้ว แต่ก็เหลือน้อง ๆ อีก 2 คน

ครั้งขณะที่หลวงพ่อมาลัย บวชเป็นพระอยู่นั้น พรรษาแรกก็สวดพระปาฎิโมกข์ภาษารามัญได้ชัดเจน จนเพื่อน ๆ พระด้วยกันขอคำแนะนำหลายรูป แต่ก็ล้มเหลว วันหนึ่งมีคุณสุนทร เขาแกร่ง บ้านเดิมเขาอยู่บางกระดี่ ท่านบวชอยู่ที่วัดบางหญ้าแพรกและท่านได้ชวนหลวงพ่อมาัลัย มาเที่ยวที่วัดบางหญ้าแพรก กับเพื่อนพระด้วยกัน ในขณะนั้น พระครูสาครอรรถโกวิท เป็นเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรกอยู่ อายุท่านประมาณเกือบ 70 ปี สมัยนั้นวัดบางหญ้าแพรกมีพระจำพรรษาไม่มาก ไม่เกิน 9 รูปทั้งวัด หลวงพ่อมาลัยขึ้นแสดงพระปาฎิโมกข์ มีโยมฝั่งมอญ โยมเป๊อะ โยมแหยบที่มาคอยสังเกตการณ์

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2517 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล พระเทพสาครมุนี (หลวงพ่อแก้ว) วัดสุทธิวาตวราราม (ช่องลม) มอบตราตั้งเจ้าอาวาสแก่หลวงพ่อมาลัยโดยให้ดูแลพระภิกษุ สามเณร ภายในอาวาสให้เรียบร้อย ซึ่งสมัยนั้นพระครูโกมุทธรรมธาดา (พระมหาสมัย) วัดป้อมวิเชียรโชติการามเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองได้พิจารณาว่าในตำบลท่าฉลอม วัดใดที่มีเจ้าอาวาสที่ดำรงตำแหน่งก่อน ซึ่งหลวงพ่อมาลัยก็เป็นเจ้าอาวาสก่อนวัดอื่น ๆ จึงได้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อมาลัยเป็นพระฐานานุกรมมา 2 ครั้ง เป็นพระครูวินัยธร เป็นพระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์ของหลวงพ่อพระวิสุทธิวงษาจารย์ เจ้าคณะภาค 15 วัดเทพธิดาราม กรุงเทพ ฯ และมอบให้ท่านกำนันวิเชียร อากาศ ทำงานพระพุทธศาสนา

วัตถุมงคล หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2554 เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 72 ปี ศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อมาลัย ได้ร่วมกันจัดสร้าง พระกริ่ง ม.ล.72 ปี ขึ้น เพื่อจัดหารายได้ในการก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาส งบประมาณก่อสร้างประมาณ 4,000,000 บาท โดยทางวัดยังขาดจตุปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก

พระกริ่ง ม.ล.72 ปี รุ่นนี้จัดสร้างเป็น 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย พระกริ่ง ม.ล.72 ปี 1.เนื้อกะไหล่ทอง จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ 2.เนื้อสำริดรมดำ จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ 3.เนื้อทองระฆัง จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ พระกริ่ง ม.ล.72 ปี ทุกองค์ในพิธีได้บรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อมาลัยไว้ใต้ฐานพร้อมทั้งตอกโค้ด กำกับทุกองค์ โดยใต้ฐานจะมียันต์อักขระมอญรามัญ เป็นแบบต้นฉบับสายมอญรามัญโดยเฉพาะของหลวงพ่อมาลัย พร้อมกับระบุอักษรย่อว่า ม.ล.72 ใต้ฐาน

พระกริ่ง ม.ล.72 เนื้อทองระฆัง
พระกริ่งรุ่นนี้ ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก 2 วาระด้วยกันคือ วาระที่ 1 ณ พระอุโบสถหลังใหม่วัดบางหญ้าแพรก เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2554 เวลา 19.39 น.หลวงพ่อมาลัย นั่งอธิษฐานจิตเดี่ยว วาระที่ 2 ณ พระอุโบสถหลังเก่า (โบสถ์มหาอุด) วัดบางหญ้าแพรก เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2554 โดยมี หลวงพ่อมาลัย อุทโย นั่งอธิษฐานจิตเดี่ยว พระกริ่ง ม.ล.72 ปี สนใจเช่าบูชาได้ที่วัดบางหญ้าแพรก ท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร

นอกจากพระกริ่ง ม.ล.72ปีแล้ว ยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อีก อย่างเช่น ตะกรุดตี๋ใหญ่ พระสมเด็จไผ่ ที่เป็นวัตถุมงคลขึ้นชื่อของหลวงพ่อมาลัย

รูปภาพบางส่วนในงานพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลชุดรวมกรุ หลวงพ่อมาลัย

พิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง

หลวงพ่อมาลัย นั่งปรกอธิษฐานจิต

เรียบเรียงจากที่มา :
www.watbangyapraek.com
www.samuthprakarn.com/พระกริ่ง-ม-ล-72-ปี-หลวงพ่อมา/