วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชาติหน้ามีจริงไหม? หลวงพ่อชา

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

      ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
      ผู้ถาม : เชื่อ
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
      ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
      ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?



แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า
หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า
ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
ถ้าเชื่อคุณก็โง่
เพราะอะไร
ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้
ที่คุณเชื่อ เพราะ คุณเชื่อตามเขา
คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น
คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป

ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามี
อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า
ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม?
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม?
อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม?
ถ้ามีพาไปดูได้ไหม?
อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี
แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด
อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา 
หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน 
เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม?
ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรา ถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง
เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือ
ถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้
นี่เรียกว่าอนาคต คือ พรุ่งนี้
มันจะมีได้ก็เพราะ วันนี้เป็นเหตุ
ทีนี้ อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า
ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว

นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน
เท่านี้ก็พอแล้ว  ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี
อนาคตมันก็จะดีด้วย
อดีต คือ วันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย
และที่สำคัญที่สุด คือ
ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว
อนาคต คือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด
ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป

ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่าคน

ตายแล้วไปไหน?
คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ถ้าพระองค์ตอบได้ ก็จะมาบวชด้วย
แต่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า
มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า
พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์
ไม่ใช่เรื่องของฉัน

พระองค์ตรัสว่า
ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิด หรือมีคนตาย
คนตายแล้วเกิด หรือคนตายแล้วไม่เกิด
ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้
พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์
ทางที่ถูกนั้น พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้
พระพุทธเจ้าท่านว่า
ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย

พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และ
จนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า
การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด
ชาติหน้ามีหรือไม่มี
อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อ หรือไม่เชื่อ
จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
  ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น
อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด?
อย่างนี้เข้าใจไหม?
ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ. 

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ หลวงปู่ทับวัดอนงคาราม

วัดอนงคารามวรวิหาร หรือนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดอนงค์” เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งอยู่เลขที่ ๔๑ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กทม. เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดนี้เมื่อเดิมได้ชื่อว่า วัดน้อยขำแถม ตามชื่อของผู้สร้างคือ ท่านผู้หญิงน้อย ภริยาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นวัดคู่กันกับวัดพิชยญาติการาม ของสามี ต่อมารัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามให้ใหม่ว่า วัดอนงคาราม ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่สำคัญ คือ พระอุโบสถที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้า ใบระกา มีเสารายรอบข้างนอก หน้าบันเป็นลายดอกลอย ซุ้มประตูและหน้าต่างทำเป็นลายปูนปั้น เป็นที่ยกย่องกันว่างดงามมาก บานประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ ลงรักปิดทอง ผนังภายในและฝ้าเพดานทาสีปิดทองล่องชาด

พระวิหาร ฉาบปูนปั้นที่ซุ้มประตูและหน้าต่าง ได้รับการยกย่องว่างดงามมากเช่นเดียวกับที่พระอุโบสถ รูปทรงทั่วไป ลักษณะเหมือนพระอุโบสถ แต่หน้าบันเป็นลายดอกไม้ประดับกระจก ระหว่างเสาระเบียงตรงประตูหน้าหลังประดับรวงผึ้งห้อยระหว่างเสาแล้วทิ้งปลายเป็นสาหร่ายย้อยลงไปตามเสา ทั้งสองต้น ภายในเขียนเป็นลายก้านแย่ง ส่วนตอนล่างของบานหน้าต่างเขียนเป็นภาพทศชาติ

ส่วนพระประธานในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะปิดทอง ได้รับถวายพระนามว่า พระจุลนาค และมีพระพุทธรูปพระสาวกหล่อด้วยโลหะปิดทองยืนอยู่ด้านซ้ายขวา อีกทั้งด้านหน้าพระประธานยังมีพระพุทธมังคโล ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางสมาธิตั้งอยู่ด้านหน้าอีกด้วย



สองข้างพระวิหารกระหนาบด้วยพระมณฑปข้างละ ๑ หลัง เป็นพระมณฑปที่สวยงามแปลกตา หลังทิศตะวันออก ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์จำลองแบบมาจากวัดราชาธิวาส ส่วนหลังทิศตะวันตก ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองหล่อด้วยโลหะ และใกล้ๆ กับพระวิหารนั้นก็ยังมีพระมณฑปซึ่งสร้างขนาบกับพระวิหาร หลังที่อยู่ด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่จำลองมาจากวัดราชาธิวาส และหลังที่อยู่ด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองเอาไว้

พระปรางค์องค์เล็กทั้ง ๒ องค์ มีขนาดเท่ากัน วัดโดยรอบ ๑๕ วา ส่วนสูงตลอดนภศูล ๑๑ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๒ กระเบียด ทิศตะวันออกเป็นที่ ประดิษฐานพระโพธิสัตว์พระศรีอาริย์ องค์ทิศตะวันตกเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ๔ รอย จำหลักด้วยแผ่นศิลา เข้าใจว่าเป็นของเก่า แต่ไม่ทราบว่าเอามาจากที่ไหน

ศิลปวัตถุงดงามประจำวัดอนงคารามชิ้นหนึ่งคือ ตู้พระไตรปิฎก เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย เขียนลายทองเป็นรูปขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคและชลมารค บานประตูด้านหน้าเขียนเป็นเรื่องพระมโหสถตอนข้าศึกมาล้อมเมือง สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ได้แก่ กุฏิสงฆ์ชึ่งออกแบบตัวเรือนและรั้วไว้อย่างสวยงาม

นอกจากนี้แล้วบริเวณชั้น ๒ ของ ร.ร.พระปริยัติธรรม วัดอนงคาราม ยังเปิดเป็นห้องสมุดประชาชนภายในวัดนั้น และเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตคลองสาน" ซึ่งในพิพิธภัณฑ์นั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปต่างๆ ในเขตคลองสาน ทั้งเรื่องของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวคลองสานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ส่วนวัตถุมงคลอันโด่งดังที่สุดของวัดอนงค์มีด้วยกันมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะสมัย หลวงปู่ทับ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสโร) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ แห่งวัดอนงคาราม กรุงเทพฯ เป็นพระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง มีจริยาวัตรงดงาม วาจาไพเราะ ท่านจะพูด "ดีจ้ะ" หรือ "จ้ะ" ลงท้ายแทบทุกคำ มีวิชาหุงน้ำมันมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง "เหรียญรุ่นแรก" เป็นที่เล่นหากันในวงการ แต่มีจำนวนน้อยมาก แทบจะไม่พบเห็น นักสะสมนิยมเล่นหาอย่างมาก

หลวงปู่ทับ


หลวงปู่ทับ วัดอนงค์ เป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าที่เชี่ยวชาญในวิธีเล่นแร่แปรธาตุ เก่งทางคาถาอาคม ท่านได้หลอมโลหะจนได้โลหะเมฆสิทธิ์ ที่มีวรรณะสีสันสวยงามแปลกตา มีคุณวิเศษศักดิ์สิทธิ์อเนกอนันต์แฝงอยู่ในตัว แม้แต่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ก็ได้มาศึกษาและเปลี่ยนวิชากับท่าน และหลวงปู่ศุขได้ใช้วิชาหล่อพระเมฆสิทธิ์นำกลับไปสร้างพระเครื่องพิมพ์เอกลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมของท่านเองที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเนื้อเมฆสิทธิ์ที่หลวงพ่อทับได้ปลุกเสกสร้างไว้นั้น มีหลายพิมพ์ ได้แก่ พิมพ์พระปิดตา พิมพ์ปางซ่อนหา พิมพ์พระชัยวัฒน์ ลูกอม เป็นต้น แต่ที่นิยมกันมากจนเกิดการแสวงหาบูชาอย่างมากมาย ก็คือ "พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์"

พระปิดตาหลวงปู่ทับ

“พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์รุ่นแรก” ของหลวงปู่ทับ ปัจจุบันพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์รุ่นแรกของหลวงปู่ทับ กลายเป็นวัตถุมงคลที่หายาก และสนนราคาเล่นหาสูงมาก บางองค์สภาพสวยๆ ว่ากันเป็นหลักแสนหลักล้าน พุทธคุณก็โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ทั้งเมตามหานิยมโชคลาภค้าขายร่ำรวย แคล้วคลาดปลอดภัย และมหาอุตม์ เรียกว่า “ครอบจักรวาล”

ตามประวัติ หลวงปู่ทับ เกิดเมื่อ พ.ศ.๑๒๗๔ มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๑๓๔ หลังจากท่านละสังขารมาจนถึง พ.ศ.๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๙๐ ปีเต็ม “วัดอนงคาราม” ยังไม่เคยจัดสร้างวัตถุมงคลย้อนยุคขึ้นเลย ทางวัดจงจัดสร้าง “พระปิดตา-พระสมเด็จปางซ่อนหา” เนื้อเมฆสิทธิ์ย้อนยุค “หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นทุนในการบูรณะปูชนียสถานและปูชนียวัตถุให้ถาวรมั่นคงสืบไป

วัตถุมงคลรุ่นนี้ที่จัดสร้างประกอบด้วย รูปหล่อพระพุทธจุลนาค เนื้อทองเหลืองปิดทอง ขนาด ๕ นิ้ว และ ๙ นิ้ว, พระปิดตาพิมพ์ต้อกลางแบบแต่ง เนื้อเมฆสิทธิ์, พระปิดตา พิมพ์ต้อกลาง แบบไม่แต่ง เนื้อเมฆสิทธิ์, พระปิดตา พิมพ์ต้อกลาง เนื้อทองแดง รมดำ หลังยันต์-เลข, พระปิดตาพิมพ์ต้อกลาง เนื้อทองแดง รมสีมันปู เดินขอบสตางค์, พระสมเด็จพิมพ์ปางซ่อนหา เนื้อเมฆสิทธิ์ และรูปหล่อเหมือนบุรพาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) เนื้อทองเหลืองรมดำ และรูปหล่อเหมือนหลวงปู่ทับ เนื้อทองเหลือง รมสีมันปู พระปรกใบมะขาม รูปถ่ายหลวงปู่ทับ เป็นต้น

กำหนดพิธีมหาพุทธาภิเษกวันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๔.๐๙ น. ณ มณฑลพิธีวัดอนงคารามวรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ พระเกจิอาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ พระธรรมภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ, หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน, หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว, หลวงพ่อรวย วัดตะโก จ.พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา, พระอาจารย์อิฐฏ์ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม, หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎทอง จ.ปทุมธานี, พ่อท่านหรีด วัดป่าโมกข์ จ.พังงา และพระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จ.ตรัง เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ร่วมบุญปฏิสังขรณ์ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง

ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง” ตั้งอยู่หมู่ ๑๒ ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี (ใกล้ตลาดเขต) เป็นแหล่งรวมใจรวมศรัทธาของญาติโยมในบริเวณใกล้เคียงและญาติโยมที่อยู่ไกลแต่มีใจศรัทธาแรงกล้า ในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะมีญาติโยมมาร่วมกันทำบุญอย่างเนืองแน่น กิจกรรมที่ญาติโยมให้ความสนใจและตั้งตารอคอยคือ การฟังพระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่ท่านต่างๆ ที่เดินทางมาโปรดญาติโยมอยู่อย่างสม่ำเสมอ



พระอาจารย์อุทัย อุทโย เจ้าสำนัก จะเน้นการก่อสร้างแบบเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติที่อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่นิยมที่จะบอกบุญญาติโยม เพราะไม่ได้ทำอะไรใหญ่โตเกินความจำเป็น อะไรขาดก็ค่อยๆ สร้างเพิ่ม ไม่เร่งรีบที่จะสร้างใหญ่โต เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะทางเดินจงกรมนั้น พระอาจารย์อุทัยได้สร้างเป็นสะพานไม้ทอดยาวอยู่ในร่องสวน

ทั้งนี้เมื่ออาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๖ ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทองได้จัดให้มีพิธีเททองหล่อ "พระไตรโลกนาถศรีโพธิ์ทอง" ซึ่งเป็นพระพุทธรูป ปางชนะมาร เนื้อสำริด หน้าตัก ๑๐๙ นิ้ว (๒.๗๗ เมตร) สูง ๔.๗๗ เมตร ณ ลานพระมหาเจดีย์พระธาตุโพธิ์ทอง เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระมหาเจดีย์ ปรากฏว่ามีคณะศรัทธาจากสารทิศไปร่วมงานอย่างล้นหลาม

ส่วนโครงการใหญ่ คือ "ก่อสร้างองค์พระมหาเจดีย์" องค์พระมหาเจดีย์ออกแบบโดย อาจารย์สมบัติ วงศ์อัศวนฤมล จากมหาวิทยาลัยศิลปากร นั้นความสูงขององค์พระมหาเจดีย์แล้วแต่ดุลพินิจของผู้ออกแบบ ซึ่งได้ออกแบบมาแล้วมีความสูงที่ ๔๓ เมตร รวมความสูงของฉัตรอีก ๕ เมตร รวมเป็น ๔๘ เมตร ทั้งนี้ บริษัท ส.บุญมีฤทธิ์ จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโดยทำการประมาณราคาไว้ที่ ๕๗ ล้านบาท หลังจากพิธีวางศิลาฤกษ์บริเวณที่จะมีการสร้างพระเจดีย์กันเรียบร้อยแล้ว ในลำดับต่อไปถึงขั้นตอนของการลงฐานรากพระมหาเจดีย์ ซึ่งขณะนี้พระอาจารย์อุทัย อุทโย ได้มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างจัดทำรายการเสาเข็มที่จะต้องใช้ในการวางฐานรากพระมหาเจดีย์มาให้เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตามในวันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทองได้จัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำปัจจัยเข้าสมทบทุนปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ซึ่งขณะนี้ทรุดโทรมตามกาลเวลา และในวันเดียวกันนี้ เวลา ๑๐.๐๐ น. จะมีพิธียกเสาเอกพระมหาเจดีย์ ฉลองพระไตรโลกนาถศรีโพธิ์ทองที่หล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งฉลองวิหารหลังใหม่ สถานที่ประดิษฐานพระไตรโลกนาถศรีโพธิ์ทองชั่วคราวก่อนที่จะนำเข้าไปเป็นพระประธานในพระมหาเจดีย์

สำหรับท่านต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อฝึกสมาธิ และนั่งภาวนา ขอเชิญ ณ สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ เปิดรับศรัทธาผู้จะมาปฏิบัติธรรมจากทั่วสารทิศ โดยไม่มีข้อจำกัดหรือข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น หรือร่วมบุญสร้าง สอบถามข้อมูลได้ที่ พระอาจารย์อุทัย อุทโย โทร.๐๘-๐๗๗๔-๕๙๖๘ หรือโอนเงินเข้าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดเขต ชื่อบัญชี พลอากาศเอกปรีชา นิยมไทย เลขที่บัญชี ๕๔๓-๒๓๒๔๖๐-๖

ภาพ/ข่าว จาก คมชัดลึก

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

น้ำมนต์ โดยพระธรรมกิตติวงศ์

ในบทสวดพระปริตรเจ็ดตำนาน หรือบทสวดสิบสองตำนาน มีอยู่บทหนึ่งที่สำคัญ คือบทรัตนปริตร หรือบทรัตนสูตร ด้วยหากจะทำพิธีเจริญน้ำพระพุทธมนต์ จะขาดบทนี้ไม่ได้ขั้นตอนการประกอบพิธีเจริญน้ำพระพุทธมนต์ พระภิกษุจะตั้งขันน้ำที่จะนำมาประกอบพิธีเจริญน้ำพระพุทธมนต์ในเขตบริเวณพิธี ล้อมรอบด้วยสายสิญจน์ จุดเทียน และสวดเจริญพระพุทธมนต์เมื่อสวดมาถึงบทรัตนสูตร ให้พระเถระที่เป็นประธานสงฆ์หยดเทียนน้ำมนต์ ในตอนเริ่มบทที่มีคำสวดขึ้นต้นว่า

"ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วายานิวะ อันตะลิกเข สัพเพวะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ..."

เมื่อจะดับเทียนน้ำพระพุทธมนต์ ให้ดับในท้ายบทรัตนสูตร มีคำสวดลงท้าย ดังนี้

"...ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วายานิวะ อันตะลิกเข, ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆังนะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุฯ"

บทรัตนสูตรเป็นบทที่ว่าด้วยอานุภาพแห่งรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์



ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมืองไพสาลี ประสบภัยพิบัติร้ายแรง ๓ ประการ คือ โรคระบาด อมนุษย์ และความฝืดเคืองเรื่องอาหารชาวเมืองไพสาลีนิมนต์พระพุทธเจ้า ให้มาช่วยปัดเป่าภัยพิบัติ

ครั้นเมื่อได้ตอบรับคำทูลเชิญและเสด็จไปเมืองไพสาลี ทรงตรัสเรียกพระอานนท์ ว่า "อานนท์ เธอจงเรียนเอารัตนสูตรนี้แล้วไปสวดในกำแพงเมือง"

พระอานนท์เถระเมื่อได้เรียนรัตนสูตรแล้ว ก็ถือบาตรน้ำมนต์ของพระพุทธองค์ ไปยืนอยู่ที่ประตูเมือง รำลึกถึงพระพุทธคุณ จากนั้นจึงประพรมน้ำมนต์ไปทั่วพระนครภัยทั้ง 3 ประการในเมืองไพสาลีก็อันตรธานไปอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองที่กำลังเจ็บไข้ก็ทุเลา

คำว่า "น้ำมนต์" พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙) ราชบัณฑิต และเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้ให้ความหมายไว้ว่าน้ำมนต์ คือน้ำที่ผ่านพิธีน้ำมนต์มาแล้ว น้ำที่เสกเพื่ออาบ กิน หรือประพรม เป็นต้น ใช้ว่าน้ำมนตร์ ก็มี น้ำมนต์ ปกติจะสำเร็จด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ในงานพิธีมงคลต่างๆ หรือการเสกของพระภิกษุหรือคฤหัสถ์ผู้ทรงวิทยาคุณ กล่าวคือผ่านการทำสมาธิที่แน่วแน่และพระปริตที่เป็นมนต์ทางศาสนามาแล้ว น้ำมนต์ นิยมนำมาอาบ ดื่ม หรือประพรมที่ศีรษะ ภายในบ้าน บริเวณบ้าน ป้ายร้านค้า เป็นต้น โดยนับถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำสิริมงคล นำความสวัสดีมีโชคมาให้ ตลอดถึงกำจัดปัดเป่าอัปมงคล อันตราย ภัยพิบัติต่างๆ ได้



น้ำมนต์ เมื่อเวลาเรารู้สึกดวงไม่ดี มีเคราะห์ หรือเจ็บป่วย นำพระกริ่งปวเรศ หรือพระกริ่ง (องค์แทนพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้า) อาราธนาบารมีของพระองค์ท่านทำน้ำพระพุทธมนต์ ดื่ม รด อาบ กินเพื่อความสวัสดี มีชัยปราศจากโรคภัยและเคราะ

ที่มาบทความจาก : คมชัดลึก

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

นกถึดทือตำหรับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

นกถึดทือ เป็นนกเค้าแมวขนาดใหญ่ ลำตัวยาวประมาณ ๕๕ เซนติเมตร หนักประมาณ ๒-๒.๕ กิโลกรัม ตัวผู้เล็กกว่าตัวเมียเล็กน้อย ลำตัวใหญ่คล้ายนกเค้าใหญ่ แต่แข้งเปลือยไม่มีขนปกคลุม สีเหลืองแกมเขียว ปากเทาแกมเขียว ตาเหลือง หัวและกระหม่อมมีลายขีดสีเข้ม ลำตัวด้านบนน้ำตาลเข้มแกมเทาเล็กน้อย ลำตัวด้านล่างน้ำตาลแกมส้ม มีลายขีดบางๆ จากแกนขนสีดำและมีลายขวางบางๆ จากลายขนสีคล้ำ คอแกมขาว หน้าผากและโคนปากไม่มีขนสีขาว เสียงร้องทุ้มต่ำดัง "ฮูป-ฮูป-ฮู" สองเพศมีลักษณะคล้ายกัน

ในการจัดสร้างเครื่องราง นกถึดทือ เจ้ามือวิ่งหนี หรือ นกถึดทือ กระพือเรียกลาภา จัดเป็นเครื่องรางที่แทบจะกลายเป็นตำนาน เจ้าตำรับคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ

มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยก่อนหลวงปู่ศุข มาพักที่วังนางเลิ้งของเสด็จในกรม พอเสด็จในกรม และพระชายา เข้าไปกราบแล้ว ก็เหลือบรรดานายทหาร และคนรับใช้ประจำวัง เข้าไปกราบ หลายคนขอพระเครื่อง ตะกรุดสารพัด แต่อีกหลายคนติดเบี้ยบ่อน มาขอของดีหลวงปู่ศุข ไปแก้มือ ไปล้างแค้นเจ้ามือ ท่านจะไม่ให้พระ แต่จะเขียนยันต์นกถึดทือให้ไป ปรากฏว่า เจ้ามือทั้งนางเลิ้ง พระนคร สี่กั๊ก ยันเสาชิงช้า ต้องปิดบ่อนหนีบรรดาศิษย์นกถึดทือหมด แก้มือสำเร็จ ร่ำรวยไปตามๆ กัน จนเจ้ามือขยาด ถ้ารู้ว่าเป็นพวกนกถึดทือ จากวังนางเลิ้ง จะไม่รับเข้าไปเล่น

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าตำนานเก่า ยืนยันว่า วิชาดี มีอยู่จริง เป็นของเล่นอริยะ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เป็นเพียงเศษฝุ่นติดเท้าหลวงปู่ศุขท่านเท่านั้น ถามว่าวิชานี้มีประโยชน์อะไร ตอบว่า พระโบราณต้องมีไว้ เพราะสมัยก่อน คนติดบ่อน ติดฝิ่น มีมาก เอาเงินเอาเบี้ยไปประเคนเจ้ามือหมด เจ้ามือก็รีดไถคนจนๆ วิชานี้ ไว้ปราบเจ้ามือขี้โกง ไว้ปราบเศรษฐีเห็นแก่ได้ เพราะบรรดาเบี้ย บ่อนสมัยก่อน ก็ล้วนเสาะหาอาจารย์ดี วิชาดี เพื่อเรียกลูกค้า ให้มาเสียเงินให้มากๆ เหมือนกัน วิชานกถึดทือ ของหลวงปู่ศุข จึงเป็นวิชาเสี่ยงโชค โชคลาภ แก้เผ็ด คล้ายย้อนรอย หนามยอกเอาหนามบ่ง ชนะอาจารย์ และวิชาประจำบ่อนเบี้ยทั้งหมด

ปัจจุบัน คนหาเช้ากินค่ำกันมาก บางคนชอบเสี่ยงโชค บางคนชอบเล่น ชอบพนัน ซ้ำบ่อนพนันถูกกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านมีมากมาย หลายคนหอบเงินแสนเงินล้านไปเสี่ยงโชค และเสียมากกว่าได้ เพราะบ่อนเหล่านี้ก็เสาะหาอาจารย์ดี วิชาดี ที่จะเรียกคนเรียกเงินเข้ามาเหมือนกัน เห็นที นักเล่น นักปราบเจ้ามือ ต้องนำนกถึดทือ ไปปราบเจ้ามือ ให้รู้จักหลาบจำเสียบ้างแล้ว

นกถึดทือ หลวงพ่อชู วัดทัพชุมพล
นกถึดทือ เป็นเครื่องรางอีกชนิดหนึ่งที่หลวงพ่อชู เตชธมฺโม วัดทัพชุมพล สร้างและปลุกเสกขึ้นมาตามศาสตร์วิชาตำราที่ตกทอดมาจากสายวิชาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทั้งนี้หลวงพ่อชูได้จารอักขระยันต์ตัว “กิ” ที่ใต้ฐานนกถึดทือไว้ และนั้นก็คือยันต์หัวใจพญานกถึดทือเวลาจะบูชาให้ภาวนาว่า “กิ ปิ พิ คิ” ท่านที่สนใจเช่าบูชา วัตถุมงคล หลวงพ่อชู วัดทัพชุมพล สามารถเช่าบูชาได้ที่เว็บไซต์ www.AmuletAsia.com 

อย่างไรก็ตามมีคติความเชื่อว่า การภาวนาว่า “กิ ปิ พิ คิ” ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งความเมตตา ดีเหลือจะพรรณนาทางการเสี่ยงโชค เรียกว่า แรงจริงเรื่องโชคลาภ ดีทางขยันทำมาหากิน เป็นเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์ เรียกทรัพย์ รับโชคลาภ อธิษฐานจิตได้ดั่งใจ อีกทั้งป้องกันคุ้มภัย ป้องกันคุณไสย คุณผี คุณคน ได้อย่างยอดเยี่ยม

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

สักการะพระพุทธรูป ปางแปลกตา รับสงกรานต์


นายจรัญ ผู้พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำนักงานเขตภาษีเจริญ ร่วมกับ ศูนย์สรรพสินค้าซีคอน บางแค จัดงานฉลองสงกรานต์ ครั้งยิ่งใหญ่เสริมสิริมงคล ต้อนรับปีใหม่ไทย สนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันให้มากขึ้น พร้อมร่วมอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่ โดยได้อัญเชิญ “พระพุทธรูปปางแปลกตา” ที่หาชมได้ยาก มาให้ชาวกรุงเทพฯ ได้สักการบูชา ขอพร และเสริมสิริมงคล ตลอด ๕ วันในช่วงวันสงกรานต์
   
               “พระพุทธรูปปางแปลกตา” ทั้ง ๙ องค์นี้มีประวัติอันยาวนานที่น่าสนใจ เป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยกำหนดตามพระพุทธลักษณะได้ ๓ อย่าง คือ พระพุทธลักษณะยืน นั่ง และนอน จัดเข้าในพุทธจริยา ๓ ประการ คือ “พุทธจริยา” ขณะที่ทรงบำเพ็ญเพียร นับตั้งแต่เสด็จออกผนวช ถึงตรัสรู้ อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พระองค์ เรียกว่า “อัตถจริยา

               ส่วนพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พระประยูรญาติ เรียกว่า “ญาตัตถจริยา” และพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนทั่วไป เรียกว่า “โลกัตถจริยา” โดยอัญเชิญพระพุทธรูปปางแปลกตา มาให้ประชาชนได้ร่วมสักการบูชา ๙ ปาง คือ



               ๑.ปางประสานบาตร ๒.ปางภัตกิจ ๓.ปางรับอุทกัง ๔.ปางประทานอภัย หรือปางห้ามญาติ หรือ ปางโปรดสัตว์ ๕.ปางปลงกรรมฐาน หรือปางชักผ้าบังสุกุล ๖.ปางปฐมบัญญัติ ๗.ปางสนเข็ม ๘.ปางพระเกศธาตุ และ ๙.ปางโปรดพกาพรหม

               นอกจากการได้สักการบูชาพระพุทธรูปปางแปลกตา ๙ องค์ แล้วยังมีกิจกรรมบันเทิงสนุกสนานครื้นเครงกับกลองยาวและการละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งเลือกซื้อสินค้าศิลปหัตถกรรม และอิ่มอร่อยกับอาหารคาว-หวานเลื่องชื่อ โดยงานนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ เมษายนนี้ เวลา  ๑๐.๓๐-๒๑.๐๐ น. ณ บริเวณชั้น ๑ ศูนย์สรรพสินค้าซีคอน บางแค
           
               ขณะเดียวกันที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ ก็มีการจัดงาน “สงกรานต์ ลานบุญ” โดยลูกค้าและประชาชนจะได้ร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปชื่อดังประจำภาค  อาทิ พระแก้วมรกต (ภาคกลาง ), พระพุทธชินราช (ภาคเหนือ), หลวงพ่อโสธร (ภาคตะวันออก), หลวงพ่อพระใส (ภาคอีสาน) และพระพุทธสิหิงค์ (ภาคใต้) พร้อมกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยพื้นบ้าน ๔ ภาค และการบรรเลงดนตรีไทย ๔ ภาค ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ เมษายน เช่นกัน

               ติดต่อสอบถามโทร.๐-๒๗๒๑-๘๘๘๘ ต่อ ๓๓-๓๔ หรือที่โทร ๐๘-๙๑๗๖-๑๓๘๗, ๐๘-๑๗๑๓-๔๔๙๖

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

หลวงปู่เช้าศิษย์หลวงปู่ศุข

'เหรียญมหาเศรษฐี'หลวงปู่เช้าศิษย์สายพุทธาคม'หลวงปู่ศุข' : เส้นทางบุญ โดยบุญนำพา

หลวงปู่เช้า อตตฺจิตโต วัดห้วยลำใย อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ปัจจุบันอายุ ๙๐ ปี ท่านเป็นศิษย์สายพุทธาคม “หลวงปู่ศุข” วัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยอุปสมบท และศึกษาพุทธมนต์จาก พระใบฎีกา บุญยัง วัดหนองน้อย ซึ่งเป็นพระปลัดซ้ายของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากนี้ หลวงปู่เช้า ยังได้ฝากตัวเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อีกท่านหนึ่งด้วย

หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย
หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย นครสวรรค์
เนื่องในโอกาสที่หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย เจริญอายุครบ ๙๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านดำริให้สร้างเหรียญมหาเศรษฐี เพื่อเป็นที่ระลึก โดยปรารภว่า “ทำเหรียญเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ มีเงิน มีทองนับไม่หวาดไหว ให้ซื้อง่ายขายดี มีกำไร คิดสิ่งใด สมปรารถนา สถาพร”

เหรียญมหาเศรษฐี หลวงปู่เช้า เป็นเหรียญรูปไข่ รูปหลวงปู่ครึ่งองค์ แกะแม่พิมพ์ได้เหมือนกับหลวงปู่มาก ด้านหลังเป็นยันต์ “เรือสำเภาไปค้า” อันเป็นยันต์ที่ “หลวงพ่ออ๋อย” วัดไทร บางขุนเทียน พระเกจิอาจารย์ยุคเก่า ได้ลงไว้ในเหรียญรุ่นแรกของท่าน ได้สร้างเศรษฐีฝั่งธนฯ มาแล้วนับไม่ถ้วน โดยโบราณาจารย์เชื่อกันว่า ยันต์นี้ปลุกเสกให้ดีจะร่ำรวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ชั่วลูกชั่วหลาน

ปัจจุบัน เจ้าสัวใหญ่ เศรษฐีร้อยล้าน พันล้าน ต่างมีความเชื่อเรื่องพลังแห่งโภคทรัพย์ของเรือสำเภา ที่จะนำพาทรัพย์สินเงินทองเข้ามาให้อย่างต่อเนื่อง เหรียญมหาเศรษฐี หลังยันต์เรือสำเภา ของหลวงปู่เช้า จึงน่าเสาะแสวงหา เพื่อต่อยอดธุรกิจ การค้าให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองสมกับชื่อเหรียญมหาเศรษฐีเป็นที่สุด หลวงปู่ได้ทำพิธีอธิษฐานจิตเดี่ยวทุกวัน โดยปิดท้ายเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ อันเป็นวันครบรอบชาติกาล ๙๐ ปีของท่าน ณ วัดห้วยลำไย โดยมีจำนวนสร้าง คือ เหรียญเนื้อทองคำ ๑๙ เหรียญ, เนื้อเงิน ๓๙๙ เหรียญ, เนื้อนวโลหะ หน้ากากเงิน ๓๙๙ เหรียญ, เนื้อนวโลหะ ๙๙๙ เหรียญ, เนื้ออัลปาก้า ๑,๙๙๙ เหรียญ และเนื้อทองแดง ๒,๙๙๙ เหรียญ ทุกเหรียญตอกโค้ด และหมายเลข ติดต่อทำบุญบูชาได้ที่ วัดห้วยลำใย โทร.๐๘-๐๗๘๒-๑๒๘๐, นิตยสารพระเกจิ โทร.๐-๒๔๓๔-๖๑๘๙

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ที่มาของ พระสมเด็จไกเซอร์

เมื่อพูดถึงมรดกพระเครื่องของเมืองไทย ที่ได้สร้างขึ้นมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากตระกูลพระเครื่องกรุงต่างๆ และจากเอกลักษณ์ของพระเถราคณาจารย์ และ พระเกจิอาจารย์ดังต่างๆ นั้น สังคมไทยทั่วไป รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง ได้ยอมรับนับถือในความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของพระสมเด็จ เมื่อนำไปใช้ได้ผลเป็นที่ประจักสืบทอดต่อเนื่องกันมานับเป็นเวลาอันยาวนานถึงตราบเท่าทุกวันนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย จึงเห็นสมควรอย่างยิ่ง ที่จะธำรงส่งเสริมเพื่อป้องกันการสับสนกับนักสะสมรุ่นหลานเหลนในอนาคตกาลสืบไป

พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์ เป็นพระเครื่องที่หายากมากแม้แต่จะขอชมบารมีองค์ท่านก็ยังยากยิ่งนัก เพราะเป็นพระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้สร้างถวายพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะ ก่อนเสด็จประพาสต่างประเทศ ประมาณ 300 องค์เท่านั้น เพราะแม่พิมพ์หักเสียก่อนจึงทำให้นักนิยมหรือนักสะสมพระเครื่องทั้งหลายได้ยินแต่ชื่อเสียงว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” เท่านั้น ส่วนองค์จริงนั้นจะหามีผู้พบเห็นได้น้อยมาก และไม่ทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมพระเครื่องของประเทศไทย ซึ่งเป็นพระสมเด็จแท้ๆ กลับมีชื่อเรียกเป็นภาษาฝรั่ง จึงเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ของชนรุ่นหลัง ๆ ตลอดมาอยู่เป็นประจำ บางท่านก็อาจจะลืมไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าประวัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้สร้างไว้จะสูญหายไปจากโลกนี้ จึงได้พยายามหาประวัติมารวบรวมเสนอต่อท่านผู้อ่านและผู้ที่เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อสมเด็จโต เพราะเป็นของดีที่หายาก เมื่อท่านอ่านจบแล้ว ท่านจะทราบว่าเพราะเหตุใดพระสมเด็จองค์ใหญ่ๆ รูปร่างลักษณะงดงาม ฐานมีบัว 5 ดอกรองรับ มีความหมายถึงรัชกาลที่ 5 เป็นองค์อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ องค์พระนี้จึงมีชื่อเรียกขานกันอยู่ในระหว่างนักนิยมพระเครื่องว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” พร้อมกับมีความศักดิ์สิทธิ์อิทธิปาฏิหารย์ เป็นที่ยอมรับนับถืออยู่ในวงการและนอกวงการพระเครื่องเป็นเวลาอันยาวนาน

สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
จากหลักฐานตามประวัติเก่าแก่และจากคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อๆ กันมา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านได้ทรงสร้างไว้ เมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เวลา 9.00 น พ.ศ.2413 โดยมีส่วนผสมของเนื้อพระ เป็นเนื้อผงวิเศษทั้ง 5 ดังนี้
  1. ผงอิทธิเจ 
  2. ผงปัถมัง 
  3. ผงมหาราช 
  4. ผงตรีนิสังเห 
  5. ผลพุทธคุณ 
นอกจากนี้แล้วยังมีส่วนผสมของ ข้าวสุก กล้วยน้ำ, กล้วยหอมจันทน์, เกษรดอกไม้ต่างๆ อีก 108 อย่าง เช่น ดอกกาหลงดอกขาว, ดอกสวาท, ดอกรักช้อนตัวผู้ตัวเมีย, ใบพลูสองหาง, ไส้เทียนหรือขี้เทียนบูชาพระพุทธเจ้า, ดินเจ็ดโป่ง,ดินเจ็ดป่า, ตะไคร่เสมา, ขี้ไครพระพุทธ, ใบราชพฤกษ์, พระแจะตะนาวศรี, น้ำเซาะหินที่หยดในถ้ำ, ผงใบลาน, ผงปูนเปลือกหอย, ข้าวสุกและภัตตาหารที่รสอร่อยๆ ที่ท่านเก็บไว้ นำมาผสมรวมกัน ตากให้แห้ง ใช้น้ำอ้อยเคี่ยวให้เป็นยางมะตูม ผสมนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนวดด้วยน้ำมันตั๊งอิ๊วอีกครั้งหนึ่ง นำไปกดแม่พิมพ์โดยองค์พระมีขนาดความกว้าง 3.7 ซม. ทางด้านความยาวหรือสูง 5.8 ซม. ด้านความหนา 5 มล. ดูแล้วขนาดเก่ากับกลักไม้ขีด องค์พิมพ์ลึก คมชัด มีบัวห้าดอกรองรับ ก่อนจะมีชื่อเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์” นั้น หลวงพ่อสมเด็จท่านเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” ท่านได้สร้างไว้ประมาณ 300 องค์ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้ทำการปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษถึง 3 เดือน (ครบไตรมาศ) แล้วท่านได้มอบถวายพระสมเด็จพิมพ์พิเศษทั้งหมดนั้นแด่พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 ก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงจะได้เสด็จประพสต่างประเทศหลายๆ ประเทศ เมื่อพ.ศ.2413 ตามคำกราบบังคมทูล เป็นกรณีพิเศษสำหรับพระองค์ท่านโดยเฉพาะ

พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์ มาโด่งดังมากเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสประเทศเยอรมัน จึงเป็นเหตุให้พระสมเด็จพิมพ์พิเศษนี้ ได้ชื่อเรียกว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” ดังมีประวัติต่อไปนี้

จากหลักฐานตามประวัติเก่า ๆ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีประสบการณ์ ได้เล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่า เมื่อคราวเสด็จประพาส ณ ประเทศเยอรมันนี ทวีปยุโรป โดยเฉพาะบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จได้เล่าถึงอภินิหารของพระสมเด็จหน้าโหนก อกครุฑ เศียรบาตร ฐานมีบัว 5 ดอกรองรับ “พิมพ์ทรงไกเซอร์” นี้มีอยู่ตอนหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงได้ทำสันถวไมตรีตามธรรมเนียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นั่งสนทนาอยู่กับพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลี่ยมที่ 2 หรือ พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 ณ ประเทศเยอรมันนี ในขณะนั้น พระเจ้าไกเซอร์ทอดพระเนตรเห็นที่กระเป๋าเสื้อของพระพุทธเจ้าหลวง มีรัศมีเปล่งออกมาเป็นสีแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน ชมพู พุ่งขึ้นรอบๆ กระเป๋าเสื้อ ท่านสงสัยจึงได้ทรงตรัสถามว่า พระองค์มีสิ่งใดอยู่ในกระเป๋าเสื้อ พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงหยิบพระสมเด็จพิมพ์พิเศษที่ในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ทอดพระเนตร และตรัสว่าเป็นพระเครื่อง ซึ่งคนไทยทุกๆ คน ที่นับถือพระพุทธศาสนา ใช้นำติดตัวไว้เพื่อป้องกันภยันตรายต่างๆ ซึ่งอาจจะมาถึงตัวได้ และเป็นพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธคุณ ทำให้จิตใจสบายและมีความสุข

พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2
เมื่อพระเจ้าไกเซอร์ทรงทราบเช่นนั้น ท่านสนพระทัยและเกิดความเลื่อมใสมีใจศรัทธามาก พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงถวายให้ไว้เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสครั้งนี้ด้วยพระเจ้าไกเซอร์ทรงรับไว้และยกมือไหว้พนมมือแบบคนไทย แล้วนำมาใส่ในกระเป๋าเสื้อของพระองค์บ้าง สักพักหนึ่งก็ได้เกิดรัศมีออกมาจากกระเป๋าเสื้อในทำนองเดียวกัน ทำเอาพระเจ้าไกเซอร์และข้าราชบริพารของพระองค์และบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในที่นั้น ต่างแปลกใจไปตามๆ กัน ทำให้พระองค์เกิดศรัทธาพระสมเด็จที่ได้รับมาและเกิดความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าหลวงของประเทศไทยเราว่า ทรงมีพระบารมีและทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งนัก พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงตั้งพระนามของพระเจ้าไกเซอร์ เรียกชื่อย่อรวมกันเป็นพระนามว่า “พระสมเด็จทรงไกเซอร์” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ประชาชนทั่วไปในสมัยนั้นต่างประเทศและในประเทศให้ความเคารพนับถือพระสมเด็จรุ่นนี้เป็นอันมาก เพราะคุณต่าและอานุภาพพุทธคุณในความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารประสบการณ์ต่างๆ เหนือคำบรรยายที่จะสรรหามาบรรยายไว้ ณ ที่นี้ได้ทั้งหมด จะทำให้ประชาชนทั่วไปต่างพากันมาขอพระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในสมัยนั้นเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไป เพราะทางวัดไม่มีเหลือไว้เลย

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระพิมพ์หน้าโหนกอกครุฑ เศียรบาตร ฐานมีบัวรองรับ 5 ดอกอันมีความหมายถึง รัชกาลที่ 5 ดอกกลางหรือกลีบกลางใหญ่กว่าดอกริมหรือกลีบริมทั้งสองข้าง ทุกคนจึงเรียกพระพิมพ์พิเศษนี้ ตามพระราชดำรัสที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงประทานไว้ว่า “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” มาจนถึงปัจจุบันนี้

ในสมัยนั้น พวกข้าราชการในวังหลวง ท่านได้ตั้งคุณค่าราคาค่าเช่าบูชาไว้ เพื่อเป็นการเปรียบเทียบไว้สูงถึง 5 ชั่ง เงิน 5 ชั่ง ในสมัยนั้นสามารถหาซื้อนาได้ถึง 100 ไร่ ถ้าเราลองเอามาคิดเปรียบเทียบกับราคาในสมัยนี้ ไม้ต้องพูดกันเลย เพราะประเมินค่ามิได้ และไม่มีท่านผู้ใดจะนำออกมาขายหรือให้เช่าบูชากันอีกด้วย คงเป็นเพียงคำเล่าขานถึงชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระพิมพ์ทรงไกเซอร์สืบต่อกันมาเท่านั้น จะหาผู้ใดมีไว้บูชาเองก็ยากยิ่งนัก ต้องเป็นผู้มีบุญบารมีจริงๆ จึงทำให้เป็นที่สนใจแสดงหาไว้บูชากันเป็นจำนวนมาก

สมเด็จไกเซอร์ วัดอรุณฯ รุ่นทูลเกล้า เนื้อแตกลายงา พิมพ์ใหญ่

ถ้าท่านต้องการจะพบเห็น “พระสมเด็จพิมพ์ทรงไกเซอร์” เนื้องแตกลายงา ซึ่งหลวงปู่ได้รวบรวมผงมวลสารของสมเด็จโต ทั้งของวัดระฆังโฆสิตาราม วัดใหม่อมตรส วัดอินทรวิหารและวัดไชโย อีกทั้งมวลสารศักดิ์สิทธิ์ตามกรุต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศรวม 199 ชนิด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ยอดขุนพลบ้านค่าย หลวงพ่อสาคร

พระยอดขุนพลบ้านค่าย ปลุกเสกพระเวทเดี่ยวโดย หลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ จ.ระยอง

 สุดยอดวัตถุมงคล ที่เมตตามหานิยมสูงยิ่ง เสริมเพิ่มบารมี มหาอำนาจได้ทั้งหญิงและชาย ด้วยพลังมหัศจรรย์แห่งพระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายปลุกเสกเดี่ยวโดยหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ หลวงพ่อสาคร เป็น ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม อิสริโก เจ้าตำรับพระขุนแผนผงพรายกุมารอันเลื่องลือ และท่านยังได้ศึกษากับหลวงปู่เพ่ง วัดระหารใหญ่ ผู้จาร นะ ตัวเคียวปืน ยิงไม่ออกเป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองระยอง ผงพรายกุมารตำรับหลวงปู่ทิม ที่ถูกถ่ายทอดมาสู่หลวงพ่อสาครนั้นดังสนั่นทั่วประเทศสยาม พระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายกุมาร สุดยอดพระเครื่องที่เป็นทั้งเมตตามหานิยม เสริมเพิ่มบารมี มหาอำนาจ น่าเกรงขามเกรียงไกร

ยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อาสำริด


พระยอดขุนพลบ้านค่าย เนื้อผงพรายกุมารสูงสุดด้วยมนตรา สุดยอดมวลสารสำคัญยิ่งรวบรวมสุดยอดมวสาร
  • ผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม 
  • ผงพุทธคุณต่าง ๆ หลวงพ่อสาคร 
  • ผงเก่าหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ 
  • สีผึ้งเสก ผงว่าน 108 หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว 
  • ผงใบลาน วัดบ้านแลงปี2496 ปลุกเสกโดย หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่, หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, หลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง 
  • ผงหลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด 
  • แป้งเสก หลวงพ่อกาส วัดแพงพลวย 
  • ผงว่าน 108 หลวงพ่อโทน วัดเขาน้อนคีรีวัน 
  • ดอกว่านดอกไม้ทอง ว่านสบู่เลือด เครือเถาว์หลง ผงเกษร ผงมหาเสน่ห์108 หิน 7 โป่งดิน 7 ป่าช้า ว่านกาหลงรัง ว่านมหาเสน่ห์ 
  • ผงยาดำออกศึก หลวงปู่ดิ่ง วัดบางวัว 
  • ผงไม้ตะเคียน ฟ้าผ่าตายพราย ผงวาสนา ผงมหาเมฆ ผงว่านสาวหลง ผงดอกพิกุลทอง ผงต่อเงินต่อทอง ผงกลิ้งกลางดง 
  • ผงเพชรหลีก เจ้าคุณศรี วัดอ่างศิลา 
  • ผงโพธิ์ วัดอ่างศิลา 
  • ว่านพัดโบก ผงเจ้าเงาะ ผงกัลปังหาทอง 
  • ผงพระชำรุดหลวงพ่อสาคร พระยอดขุนพลบ้านค่าย 
  • เนื้อผงพรายกุมาร สุดยอดพระเครื่อง สุดยอดพิธีกรรม สุดยอดมวลสาร สุดยอดพระเครื่อง สุดยอดพิธีกรรม สุดยอดมวลสาร สร้างน้อยเป็นอีกวัตถุมงคลหนึ่งที่น่าใช้ ของหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง
หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล วันที่ 28 ตุลาคม 2552

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ นั่งปรกอธิษฐานจิตเดี่ยวพระยอดขุนพล

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จวัดระฆัง รุ่นคู่บุญ-คู่บารมี

วาระพิเศษในรอบ ๘๒๓ ปี มีหนึ่งครั้ง คือ วันมหาพุทธาภิเษกที่เกิดขึ้น ณ พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ในวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2555 ซึ่งตรงกับวันครู เสมือนหนึ่งได้บูชาองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อันเป็นบรมครูอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งตรงกับวันจันทร์ อันเป็นวันแห่ง เสน่ห์ เมตตามหานิยม ซึ่งวันจันทร์ เดือนนี้เป็นเดือนพิเศษสุดเพราะ ยังเป็นเดือนที่มี 5 อาทิตย์ 5 จันทร์ 5 อังคาร และเป็นเดือนที่มีวันพระ 5 วัน เรียกว่าวาระนี้ว่า "ถุงเงิน ถุงทอง ถุงทรัพย์" ซึ่งในรอบ 823 ปี จะเกิดขึ้นเพียง 1 วาระ เท่านั้น อาจเรียกวาระสำคัญนี้ว่า วาระ "เบญจมหามงคล" ของพระสมเด็จวัดระฆัง รุ่น "คู่บุญ คู่บารมี"


วัตถุประสงค์ : โดยดำริขอพระเดชพระคุณเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม) ที่ปรารภต่อพระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณเที่ยง เจ้าอาวาสวัดระฆัง) ว่าขอให้วัดระฆังอำนวยความสะดวกในการจัดสร้างพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหนึ่งให้กับวัดพระบรมธาตุวรวิหาร (พระอารามหลวง) จ.ชัยนาท ซึ่งมีพระครูศรีปริยัติอุเทศเป็นเจ้าอาวาสการจัดสร้างครั้งนี้เพื่อ นำรวยได้ทั้งหมดสู่โครงการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระบรมธาตุวรวิหาร พระอารามหลวง ที่ชำรุดทรุดโทรมมากให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ โดยโครงการนี้จะต้องใช้ทุนทรัพย์ประมาณ 20 ล้านบาทขึ้นไป

พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณเที่ยง เจ้าอาวาสวัดระฆัง) ได้น้อมรับคำปรารภดังกล่าว แม้ต่อมาพระเดชพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านได้ละสังขารไปเสียก่อน แต่พระธรรมธีรราชมหามุนีก็ได้ยินดีที่จะแสดงมุทิตาสักการะต่อเจ้าประคุณสมเด็จมหาธีราจารย์ จึงได้อนุญาตให้พระครูศรีปริยัติอุเทศ เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ดำเนินการจัดสร้าง “พระเด็จวัดระฆัง รุ่น คู่บุญ – คู่บารมี” ขึ้น โดยพระเดชพระคุณธรรมธีรราชมหามุนีได้รับเป็นองค์ประธานในการจัดสร้างให้

จึงถือได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆังรุ่น “คู่บุญ – คู่บารมี” สำเร็จได้ด้วยเมตตาบารมีของพระมหาเถระทั้งสองรูป และถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการอัญเชิญเอาพุทธบารมี ธรรมบารมี และบารมีแห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พร้อมทั้งบารมีของเกจิอาจารย์ชั้นนำของประเทศที่ได้มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกอธิษฐาบารมี ประดิษฐานความเป็นมิ่งมหามงคลแก่พระสมเด็จวัดระฆัง รุ่น “คู่บุญ – คู่บารมี” ในครั้งนี้ และผู้ที่ได้ร่วมบริจาคบูชาก็จะได้บุญศลร่วมกันในการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามหลวงอันเก่าแก่ที่มีอายุ 1,000 ปีล่วงมาแล้วให้กลับมาสมบูรณ์ใหม่ ขอกุศลผลบุญจงบังเกิดแค่ทุกท่านเทอญ

พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2555


พระเดชพระคุณพระพรหมสุธี วัดสระเกศฯ ประธานจุดเทียนชัย
พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ประธาน ดับเทียนมหามงคล








วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เปิดตำนาน พระปิดตาโคตรเศรษฐี

เมืองนนท์ ไม่มีจน คนแก่คนเฒ่าเล่าให้ลูกหลานฟังพร้อมหยิบก้อนแร่เล็ก ๆ เงา ๆ ใส่มือลูกหลาน สั่งกำชับว่าเก็บไว้ให้ดีนี่แหละแร่โคตรเศรษฐี ลูกหลานก็เก็บก้อนแร่นี้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วก็ไม่จนตามคำที่ปู่ย่าตาทวดท่านบอกไว้จริง ๆ ทำมาหากินอะไรก็เจริญรุ่งเรืองดี ปลูกผักปลูกหญ้าได้ผลงอกงาม

ทางสามแพร่งแยกของแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าเมืองนนท์เป็นแหล่งกำเนิดของแร่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แร่ ได้ความว่า “แร่บางไผ่หลวงปู่จันทร์ แร่เศรษฐี แร่กายสิทธิ์ หลวงพ่อเกิด” แร่บางไผ่หลวงปู่จันทร์ วัดโมลีไม่ต้องพูดถึงเหนียวสุด ๆ แมลงวันไม่ได้กินเลือด แร่บางเดื่อ (กายสิทธิ์) หลวงพ่อเกิดแคล้วคลาดศัตรูไม่มีทางเห็นตัว แร่วิเศษเมืองนนท์ มีค่าขนาดสร้างพระปิดตาเป็นล้าน ๆ ได้ แร่เศรษฐีที่ว่า คือแร่บางม่วง ผุดกลางแม่น้ำท้องคลอง ผู้ที่สร้างหุงถลุงแร่องค์ต้นคือ หลวงพ่อดิษฐ์ วัดบางม่วง (องค์สมเด็จพระสมณเจ้าฯ ทรงเปลี่ยนนามเป็นวัดอัมพวัน เดี๋ยวนี้จึงใช้คำว่าวัดอัมพวันสืบมา) หลวงพ่อดิษฐ์สร้างพระปิดตาด้วยแร่บางม่วง ใครได้ใครใช้เป็นเศรษฐีทุกคน ริมคลองบางกอกน้อย สมัยนั้นหาคนที่ได้ปิดตาแร่บางม่วง หลวงพ่อดิษฐ์ ไปแล้ว “จน” ไม่เคยเจอ



แร่คลองบางม่วงนี้ถูกยกย่องให้เป็นแร่เศรษฐี และเมื่อเห็นผลชัดเจนมากขึ้นใครได้ไปรวย จึงถูกยกย่องเชิดชูให้เด่นดังต่อไปว่า “แร่โคตรเศรษฐี” หลวงพ่อดิษฐ์สอนหลวงปู่ทองย้อยศิษย์รักไว้มากมายพร้อมทั้งทิ้งแร่เศรษฐีให้หลวงปู่ทองย้อยไม่น้อย ตอนที่มีแร่เยอะ ท่านไม่ห่วงเลยใครมาขอท่านแจกดะ ใครได้ไปเอาไปเลี่ยมแล้วรวยดีจัง…??? แจกใกล้หมด จึงคิดว่าสร้างพระปิดตายันต์ยุ่งลงหัวใจเศรษฐี สืบอายุพระพุทธศาสนาด้วย ช่วยบูชาครูพระปิดตาหลวงพ่อดิษฐ์อีกองค์ พระปิดตาหลวงปู่ทองย้อยทุกรุ่นดังระเบิด เพราะเกิดเศรษฐีใหม่มากมาย ไปถามเถอะเศรษฐีบ้านจัดสรร เศรษฐีใหม่ พกพระปิดตาหลวงปู่ทองย้อยทั้งน้าน ทำพิธีปักเทียนเบิกบายศรีกระทงข้าวดอก ถั่วงา ดอกไม้บอกกล่าวครูบาอาจารย์ และเทวดาที่รักษาแร่วิเศษนี้ในวันอังคาร ๒๗ ขึ้น ๕ ค่ำ ปี ๒๕๕๕ ฤคเวทภูมิโลฤกษ์ เป็นปฐม

ปิดตายันต์ยุ่ง “แร่โคตรเศรษฐี” เพราะใช้แล้วรวยมาก หรือแร่เศรษฐี เพราะใช้แล้วเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ทุกคนไป หรือแร่บางม่วงเพราะชื่อคลองก็เรียกได้ นี้บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นแร่วิเศษหรือแร่กายสิทธิ์ ที่รู้และใช้กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ว่าใครมีใครใช้จะร่ำรวยมาก เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีสตางค์เยอะ จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด ทำมาหากิน ทำบริษัท ห้างร้าน ค้าขาย ก็จะ มีลูกค้ามาอุดหนุนมากล้น บางท่านที่หาช่องทางร่ำรวยทางลัด เล่นหวย รวยโป การพนันขันต่อก็จะได้โชคได้ลาภทางนี้ หลวงปู่ทองย้อย ท่านเตือนสติ “เงินทางพนันมันกินไม่นาน ให้ประกอบสัมมาอาชีพซะจะเจริญรุ่งเรืองดี ใครรวยแล้วเป็นเศรษฐีให้หมั่นไว้พระทำบุญประกอบการกุศล ศีลธรรมให้มั่นคงประจำใจ จะทำให้รวยยืนนานและจะรวยมากขึ้น เป็น โคตรเศรษฐีได้ไม่ยากเลย… พระปิดตาผูกยันต์ “หัวใจเศรษฐีเดินเส้นขนมจีนไว้ด้านหลัง”

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อ​แคล้ว เทพ​เจ้า​แห่ง​เขาค้อ

พระครูพัชรคณาภิบาล ​หรือ มหา​แคล้ว ฐานิสฺส​โร ​เทพ​เจ้า​แห่ง​เขาค้อ ​เจ้าคณะอำ​เภอ​เขาค้อ ต.​เขาค้อ อ.​เขาค้อ จ.​เพชรบูรณ์ ที่ท่านมี​ความ​เพียรพยายามหลังจากที่​ได้ปวารนา​ถึง​การบวช​ไปตลอดชีวิต

หลวงพ่อแคล้ว วัดเขาค้อ
สิ่งที่หลวงพ่อแคล้ว ท่าน​ได้ปฏิบัติมานานนับ 14 ปี กิจกรรมหนึ่งคือ​การจัด​เลี้ยงพระทุกวันอาทิตย์ปลาย​เดือน ​เดือนหนึ่ง ร้อยถึงเจ็ดร้อยรูปเลยทีเดียว ​เพราะหลวงพ่อแคล้ว ท่าน​เล่าว่า อาตมา​เห็นปัญหาของ​การที่พระสงฆ์บ้านนอก ที่อยู่ห่าง​ไกล​ความ​เจริญ ​ใน​เรื่องจัตุปัจจัย หรือ ปัจจัยสี่ ​ใน​การบริ​โภคของพระสงฆ์ สาม​เณรที่ขาด​แคลน ​ทำ​ให้พระ​เณร ไม่ต้อง​ไป​ใน​เมือง​เพื่อ​แสวงหาจัตุปัจจัย​ให้​เพียงพอ​ใน​การยังชีพของสมณ​เพศ หลวงพ่อแคล้ว ​จึง​ได้นิมนต์พระ​เณรมารับมหาสังฆทานที่วัด​เขาค้อ ​เมื่อญาติ​โยมทราบข่าว​ ก็​ได้​เดินทางมาร่วมถวายมหาสังฆทานกัน​แต่ละครั้ง นับร้อยคนขึ้น​ไป​ในวันอาทิตย์

​ใน​การ​ทำบุญ​ใหญ่ทุกวัน​เสาร์อาทิตย์ปลาย​เดือน ปัจจัยที่​ได้จากงานบุญ​ใหญ่หลวงพ่อแคล้ว จะนำ​ไปตั้ง​เป็นกองทุนส่ง​เสริม​การศึกษาของพระ​เณร ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยห้อง​เรียน จ.​เพชรบูรณ์ ณ วัด​ไพรสณฑ์ศักดาราม หลวงพ่อ​แคล้ว วัดเขาค้อ กล่าวว่า หลวงพ่อธุดงค์มา 40 ปีรวม​ทั้ง 12 ปี​แห่ง​การศึกษาทางธรรมจน​ได้​เปรียญธรรม 5 ประ​โยค สิ่งที่หลวงพ่อ​เป็นห่วงสถาบันพระพุทธศาสนา ​โดย​เฉพาะนักบวชที่จะมาสืบทอดพระพุทธศาสนา​เพื่อจะ​ได้สั่งสอนธรรมะสู่ประชาชน เพราะปัจจุบันพระสังฆาธิ​การรุ่นอายุ 60 ​ถึง 80 ปี ​เมื่อ​ถึงกาลมรณภาพละจาก​โลกนี้​ไป​แล้ว จะมีพระรุ่น​ใหม่สืบต่อกันอย่าง​ไร ​ใน​เมื่อปัจจุบันจะหา​ผู้ที่​เข้าบวช​เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาน้อย​เต็มทน ​และมีระบบ​การศึกษาที่​ทำ​ให้​เยาวชนจะมาบวช​เข้าพรรษายัง​ทำ​ได้ยาก หลวงพ่อ​จึงขวนขวาย​ไปหา​เยาวชนจากภาค​เหนือ​และอีสาน ​ซึ่ง​เป็นลูกตาสีตาสา ขี่หลังวัวหลังควาย​ทำ​ไร่​ทำนา มีฐานะยากจน ​เพื่อ​แบ่ง​เบาภาระของญาติ​โยม นำมา บวชพระ บวช​เณร ​แล้วส่ง​เสริม​ให้มี​การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยปริญญาตรี​ในระดับ มหาวิทยาลัยสงฆ์ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ของจังหวัด​เพชรบูรณ์ ​โดยทุกวัน อาตมา​ได้พยายามหากองทุน​เพื่อยก​ให้​เป็นวิทยา​เขต​ให้​เป็น วิทยาลัย​ให้​ได้ ​เพื่อจะ​ได้สง​เคราะห์ลูกชาว​ไร่ชาวนาที่ขี่หลังควาย​ให้มี​การศึกษา ยกฐานะขึ้น​เป็นครูบาอาจารย์​เผย​แผ่พระพุทธศาสนาต่อ​ไป

วัตถุมงคล หลวงพ่อแคล้ว วัดเขาค้อ "ชุดเหล็กน้ำพี้" รุ่น 1

หลวงพ่อแคล้ว ชุดเบญจภาคีเหล็กน้ำพี้


วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ค่านิยมของพระกริ่ง

สำหรับพระกริ่งที่มีชื่อเสียง และ ทรงคุณวิเศษหลายประการ มีผู้นิยมนับถือกันมาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งหายาก ต้องยกให้ พระกริ่งวัดสุทัศนฯ เพราะ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงสร้างไว้จำนวนไม่มาก การจัดสร้างพระกริ่งในอดีตนั้น สร้างออกมาเพื่อใช้จริงๆ และโดยเฉพาะสายวัดสุทัศนฯ สร้างออกมาอยู่ในหลักสิบองค์ต่อครั้งเท่านั้น ที่สำคัญ คือ การแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณต่างๆ นั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย

ส่วนคำกล่าวว่า ตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นตำราของ สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว สำนักอรัญญิกาวาส สมถธุระวิปัสสนาธุระแห่งกรุงศรีอยุธยา และมาอยู่ที่ สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ วัดพระเชตุพนฯ จากนั้น พระมงคลทิพย์มุนี (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ก่อนที่จะมาตกอยู่ที่ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) เมื่อครั้งยังทรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลี

สำหรับมูลเหตุที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์นั้น มีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ทรงเล่าว่า เมื่อพระองค์ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสมโพธิ ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม เมื่อรับสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่า เคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่า พระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า จึงรับสั่งให้นำมา แล้วอาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์ แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์แล้ว โรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปกติ ส่วนจะเป็นพระกริ่งสมัยไหน พระองค์ท่านรับสั่งว่า จำไม่ได้ เมื่อถามถึงความแตกต่างของพุทธคุณพระกริ่ง ที่มีการจัดสร้างในอดีตกับปัจจุบัน

พระกริ่ง วัดสุทัศน์ฯ

 "พุทธคุณของพระกริ่งนั้น ส่วนใหญ่จะมีพุทธคุณดีทุกด้าน ในกรณีของพระกริ่งเขมรนั้น จะมีพุทธคุณเด่นด้านคงกระพันชาตรี ทั้งนี้จะแตกต่างกับพระกริ่งจีน จะมีพุทธคุณโดดเด่นทางด้านการรักษาโรค เช่นเดียวกับพระกริ่งที่สร้างในเมืองไทย และพระกริ่งที่มีพุทธคุณเด่นด้านรักษาโรคนั้น ต้องยกให้พระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) แห่งวัดสุทัศนฯ ด้วยมวลสารพิธีกรรม และฤกษ์ ทำให้พระกริ่งที่สร้างในยุคก่อนมีความเข้มขลัง สามารถแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกันรักษาโรคได้ แต่การสร้างพระกริ่งยุคหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรัด แม้ว่าจะเป็นเนื้อนวโลหะครบตามสูตร แต่การจารยันต์ และฤกษ์การเทนั้น ไม่เป็นตามตำรา พระกริ่งยุคหลังจึงนำมาแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกินรักษาโรคไม่ได้ดีเท่าในอดีต" นี่จึงเป็นที่มาและค่านิยม ของคนที่สนใจในพระกริ่งนั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู อติภทฺโท หรือ พระมงคลสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เทพเจ้าบางปะกง มหาคาถา สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ อันเลื่องลือ สืบทอดสุดยอดวิชา แห่งปรมาจารย์ หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า "เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง"

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร
หลวงพ่อฟู เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่ออายุ 20 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ที่วัดบางสมัคร โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว) ผู้เป็นพระอาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชื่น วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเมธีธรรมโฆสิต (พระมหาจอม) วัดบางสมัคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "อติภัทโท" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาด้านคันถธุระ ที่วัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ จนสามารถสอบได้นักธรรมโท และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2487 ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดอุทยานที จ.ชลบุรี เพื่อเรียนนักธรรมเอก

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2492 หลวงพ่อฟูท่านก็สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาพรรษาที่ 16 พ.ศ.2501 หลวงพ่อฟูได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ชลบุรี โดยเลื่อนอันดับเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองไม้แดง จ.ชลบุรี

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2503 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ จนต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2505 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา ว่างเว้นลง ชาวบ้านและญาติโยมจึงนิมนต์หลวงพ่อฟูให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบางสมัครจวบจนปัจจุบัน

หลวงพ่อฟู เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2465 อุปสมบท เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง) วัดบางวัว เป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบันอายุ 90 ปี 70 พรรษา หลวงพ่อฟูเป็นพระสุปฏิปันโน พระนักปฏิบัติ ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อาคมขลัง สืบทอดพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ที่โด่งดังหลายรูป เช่น สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว พระอุปัชฌาย์ ที่เมตตาและถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ศึกษาต่อจากหลวงพ่อจอม หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี ทั้งวิชาเสืออาคม เสือสมิง ปลัดขิก หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ซึ่งถ่ายทอดวิชาหน้าผากเสือ และปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ อันลือลั่น และยังถือได้ว่าเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงพ่อดิ่ง ที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคม ในการสร้างวัตถุมงคล ลิงหรือหนุมานอันลือเลื่อง และสุดยอดวิชาของหลวงพ่อดิ่งคือวิชา "สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์"

วัตถุมงคล หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

วัตถุมงคลที่มีชื่อของหลวงพ่อฟู ได้แก่ หนุมานจับหลัก ซึ่งสืบทอดมาจากหลวงพ่อดิ่ง ที่มีอยู่มากมายหลายรุ่น และที่ขึ้นชื่อไม่แพ้หนุมานจับหนัก ก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ ของหลวงพ่อฟู ซึ่งตามความเชื่อของคนไทยว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็นนายแห่ยักษ์ ทำให้ช่วยปกป้องคุ้มครองภูตผีปิศาจ อันตรายต่างๆ ยิ่งได้วิชาของหลวงพ่อฟู ที่ชื่อ สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ อีกยิ่งทำให้ ท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อฟู เข้มขลังด้วยพุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง

ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อทองระฆังเทโบราณในฤกษ์ อุดผงฝังตะกรุดทองคำคู่ 
พิธีพุทธาภิเษก ท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อฟู วันที่ 14 ตุลาคม 2554



วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก

หลวงพ่อมาลัย หรือ พระครูอุทัยธรรมสาคร แห่งวัดบางหญ้าแพรก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร อาจารย์ "ตี๋ใหญ่" ขุนโจรนามกระเดื่องขนานแท้

หลวงพ่อมาลัย
ประวัติหลวงพ่อมาลัย
เดิมชื่อ มาลัย แตงอ่อน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 8 กันยายน 2483 ตรงกับ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ณ บ้านเลขที่ 63 หมู่ 8 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร บิดา ชื่อ นายบุญธรรม แตงอ่อน มารดาชื่อ นางกิม แตงอ่อน มีพี่น้องด้วยกันทั้งสิ้น 6 คน

บวชเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2509 เวลา 13.00 น. ณ วัดบางกระดี่ ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่ออายุ 25 ปี พระเทพณานมุนี วัดราชโอรสาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์สง่า การวิโก วัดบางกระดี่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และอาจารย์สงวน อาสโภ วัดกำพร้าเป็นพระอนุสาวนาจารย์ 

เดิมทีหลวงพ่อมาลัยตั้งใจเอาไว้ว่าจะบวชพรรษาเดียวแล้วจะสึก เพราะฐานะทางบ้านยากจนและไม่มีใครช่วยพ่อ-แม่ ส่วนญาติพี่น้อง ก็มีเหย้ามีเรือนกันไปหมดแล้ว แต่ก็เหลือน้อง ๆ อีก 2 คน

ครั้งขณะที่หลวงพ่อมาลัย บวชเป็นพระอยู่นั้น พรรษาแรกก็สวดพระปาฎิโมกข์ภาษารามัญได้ชัดเจน จนเพื่อน ๆ พระด้วยกันขอคำแนะนำหลายรูป แต่ก็ล้มเหลว วันหนึ่งมีคุณสุนทร เขาแกร่ง บ้านเดิมเขาอยู่บางกระดี่ ท่านบวชอยู่ที่วัดบางหญ้าแพรกและท่านได้ชวนหลวงพ่อมาัลัย มาเที่ยวที่วัดบางหญ้าแพรก กับเพื่อนพระด้วยกัน ในขณะนั้น พระครูสาครอรรถโกวิท เป็นเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรกอยู่ อายุท่านประมาณเกือบ 70 ปี สมัยนั้นวัดบางหญ้าแพรกมีพระจำพรรษาไม่มาก ไม่เกิน 9 รูปทั้งวัด หลวงพ่อมาลัยขึ้นแสดงพระปาฎิโมกข์ มีโยมฝั่งมอญ โยมเป๊อะ โยมแหยบที่มาคอยสังเกตการณ์

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2517 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล พระเทพสาครมุนี (หลวงพ่อแก้ว) วัดสุทธิวาตวราราม (ช่องลม) มอบตราตั้งเจ้าอาวาสแก่หลวงพ่อมาลัยโดยให้ดูแลพระภิกษุ สามเณร ภายในอาวาสให้เรียบร้อย ซึ่งสมัยนั้นพระครูโกมุทธรรมธาดา (พระมหาสมัย) วัดป้อมวิเชียรโชติการามเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองได้พิจารณาว่าในตำบลท่าฉลอม วัดใดที่มีเจ้าอาวาสที่ดำรงตำแหน่งก่อน ซึ่งหลวงพ่อมาลัยก็เป็นเจ้าอาวาสก่อนวัดอื่น ๆ จึงได้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อมาลัยเป็นพระฐานานุกรมมา 2 ครั้ง เป็นพระครูวินัยธร เป็นพระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์ของหลวงพ่อพระวิสุทธิวงษาจารย์ เจ้าคณะภาค 15 วัดเทพธิดาราม กรุงเทพ ฯ และมอบให้ท่านกำนันวิเชียร อากาศ ทำงานพระพุทธศาสนา

วัตถุมงคล หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2554 เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 72 ปี ศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อมาลัย ได้ร่วมกันจัดสร้าง พระกริ่ง ม.ล.72 ปี ขึ้น เพื่อจัดหารายได้ในการก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาส งบประมาณก่อสร้างประมาณ 4,000,000 บาท โดยทางวัดยังขาดจตุปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก

พระกริ่ง ม.ล.72 ปี รุ่นนี้จัดสร้างเป็น 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย พระกริ่ง ม.ล.72 ปี 1.เนื้อกะไหล่ทอง จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ 2.เนื้อสำริดรมดำ จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ 3.เนื้อทองระฆัง จำนวนจัดสร้าง 500 องค์ พระกริ่ง ม.ล.72 ปี ทุกองค์ในพิธีได้บรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อมาลัยไว้ใต้ฐานพร้อมทั้งตอกโค้ด กำกับทุกองค์ โดยใต้ฐานจะมียันต์อักขระมอญรามัญ เป็นแบบต้นฉบับสายมอญรามัญโดยเฉพาะของหลวงพ่อมาลัย พร้อมกับระบุอักษรย่อว่า ม.ล.72 ใต้ฐาน

พระกริ่ง ม.ล.72 เนื้อทองระฆัง
พระกริ่งรุ่นนี้ ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก 2 วาระด้วยกันคือ วาระที่ 1 ณ พระอุโบสถหลังใหม่วัดบางหญ้าแพรก เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2554 เวลา 19.39 น.หลวงพ่อมาลัย นั่งอธิษฐานจิตเดี่ยว วาระที่ 2 ณ พระอุโบสถหลังเก่า (โบสถ์มหาอุด) วัดบางหญ้าแพรก เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2554 โดยมี หลวงพ่อมาลัย อุทโย นั่งอธิษฐานจิตเดี่ยว พระกริ่ง ม.ล.72 ปี สนใจเช่าบูชาได้ที่วัดบางหญ้าแพรก ท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร

นอกจากพระกริ่ง ม.ล.72ปีแล้ว ยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อีก อย่างเช่น ตะกรุดตี๋ใหญ่ พระสมเด็จไผ่ ที่เป็นวัตถุมงคลขึ้นชื่อของหลวงพ่อมาลัย

รูปภาพบางส่วนในงานพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลชุดรวมกรุ หลวงพ่อมาลัย

พิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง

หลวงพ่อมาลัย นั่งปรกอธิษฐานจิต

เรียบเรียงจากที่มา :
www.watbangyapraek.com
www.samuthprakarn.com/พระกริ่ง-ม-ล-72-ปี-หลวงพ่อมา/